พบผลลัพธ์ทั้งหมด 676 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1925/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นตัวแทนเชิดต้องแสดงออกหรือยินยอมให้แสดงเป็นตัวแทน มิฉะนั้นตัวการไม่ต้องรับผิด
การเป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น อาจเกิดโดยการแต่งตั้งโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้ และกรณีตัวแทนเชิดที่ถือได้ว่าเป็นการแต่งตั้งโดยปริยายนั้น ตัวการผู้เชิดต้องแสดงออกว่าผู้ถูกเชิดเป็นตัวแทนของตน หรือรู้แล้วยอมให้ผู้เชิดแสดงออกว่าเขาเป็นตัวแทนของตน ตัวการจึงจะมีความรับผิดต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายที่ตัวแทนได้กระทำลงไป คดีนี้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 3 สั่งซื้อเบียร์จากโจทก์ หรือยินยอมให้จำเลยที่ 3 สั่งซื้อเบียร์จากโจทก์ในนามจำเลยที่ 1 แต่เป็นเรื่องจำเลยที่ 3 ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตสั่งซื้อเบียร์จากโจทก์เองโดยพลการ การที่จำเลยที่ 3 ใช้อำนาจหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้โดยใช้ใบรับเงินของจำเลยที่ 1 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 3 กระทำ การกระทำของจำเลยที่ 3 ต่าง ๆ จำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนได้เสียหรือยินยอมด้วย จำเลยที่ 3 จึงมิใช่ตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1820/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับตามข้อตกลงหย่าขาดจากกัน โดยอาศัยความยินยอมและบันทึกข้อตกลงร่วมกัน
การฟ้องหย่า นอกจากมีเหตุฟ้องหย่าได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516แล้ว ยังมีกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1515 ดังนั้นถ้ามีการหย่าโดยความยินยอมแล้ว แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมไปจดทะเบียนหย่า การหย่าโดยความยินยอมยังไม่สมบูรณ์ อีกฝ่ายหนึ่งจึงฟ้องเพื่อให้ศาลพิพากษาให้มีผลเป็นการหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันตามหนังสือยินยอมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จำเลยทำบันทึกด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายตกลงหย่าและแบ่งทรัพย์สินกัน ต่อหน้าพยาน 2 คน โจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าตามบันทึกที่ตกลงกัน จำเลยบ่ายเบี่ยงและคำขอท้ายฟ้องระบุว่าขอให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนหย่าก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกเอาบันทึกข้อตกลงของโจทก์จำเลยมาวินิจฉัยว่าเป็นหลักฐานการหย่าโดยความยินยอม โจทก์จึงฟ้องเพื่อบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนได้ และพิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์นั้น จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ข้อความในบันทึกข้อตกลงการหย่า นอกจากมีข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สินและการดูแลบุตร ยังมีข้อความระบุว่า "ผู้เป็นภรรยาพอใจไม่เรียกร้องสิทธิใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากสิ่งที่ได้ตกลงกันมาแล้ว เพื่อเป็นหลักฐานการหย่าร้างครั้งนี้จึงให้มีพยานหลักฐานไว้เป็นสำคัญ" ซึ่งมีข้อความระบุถึงการหย่าไว้แล้ว เมื่อมีผู้ลงนามเป็นพยาน 2 คน จึงครบถ้วนเป็นข้อตกลงหย่าด้วยความยินยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1514วรรคสอง แล้ว สิทธิฟ้องร้องที่ระบุไว้ในมาตรา 1529 คือสิทธิฟ้องร้องโดยอาศัยเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(1)(2)(3)หรือ (6) หรือมาตรา 1523 เป็นคนละกรณีกับการฟ้องขอให้จดทะเบียนหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1514 วรรคสอง มาตรา 1515ซึ่งมีอายุความฟ้องร้องภายในสิบปี นับแต่วันที่ทั้งสองฝ่ายทำบันทึกข้อตกลงการหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ทางพิพาทโดยยินยอมไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม และประเด็นการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ใช้ทางพิพาทโดย ส.เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินยินยอมให้ใช้ เมื่อเป็นการใช้โดยเจ้าของที่ดินยินยอม แม้จะเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่ได้ภาระจำยอม
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขออุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อต่อไปว่าโจทก์ทั้งสี่ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนน จะมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนกำแพงออกจากถนนพิพาทได้หรือไม่ และตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนนพิพาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรื้อถอนกำแพงออกไป และในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มีคำขอให้พิพากษาตามฟ้องของโจทก์ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงมิได้พิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขออุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อต่อไปว่าโจทก์ทั้งสี่ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนน จะมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนกำแพงออกจากถนนพิพาทได้หรือไม่ และตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนนพิพาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรื้อถอนกำแพงออกไป และในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มีคำขอให้พิพากษาตามฟ้องของโจทก์ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงมิได้พิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ทางโดยยินยอมไม่ก่อให้เกิดภารจำยอม และประเด็นศาลวินิจฉัยเกินคำขอ
โจทก์ใช้ทางพิพาทโดย ส. เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินยินยอมให้ใช้ เมื่อเป็นการใช้โดยเจ้าของที่ดินยินยอม แม้จะเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่ได้ภารจำยอม โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขออุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อต่อไปว่า โจทก์ทั้งสี่ได้สิทธิภารจำยอมบนถนน จะมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนกำแพงออกจากถนนพิพาทได้หรือไม่ และตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ได้สิทธิภารจำยอมบนถนนพิพาทขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรื้อถอนกำแพงออกไป และในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มีคำขอให้พิพากษาตามฟ้องของโจทก์ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงมิได้พิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิในทางน้ำโดยชอบธรรมและการยินยอมใช้สิทธิโดยไม่ก่อให้เกิดสิทธิถาวร
การใช้สิทธิที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 นั้น จะต้องเป็นความเสียหายในสิทธิที่บทบัญญัติกฎหมายรับรองไว้ เมื่อทางน้ำพิพาทที่จำเลยที่ 6ในฐานะผู้เช่าที่ดินมาจากจำเลยที่ 4 และที่ 5 ผู้ทรงสิทธิเก็บกินในที่ดินดังกล่าวได้ขุดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยน้ำนั้นมิใช่ทางน้ำสาธารณะ การที่โจทก์ทั้งสี่ขุดทางน้ำต่อจากทางน้ำพิพาทเพื่อชักน้ำให้ไหลเข้าที่ดินของโจทก์ทั้งสี่เพื่อนำไปใช้โดยจำเลยที่ 6 มิได้ทักท้วง เป็นการยินยอมให้โจทก์ทั้งสี่กระทำได้โดยชอบ ไม่เป็นมูลละเมิดต่อจำเลยที่ 6 แต่การชักน้ำดังกล่าวก็มิใช่เป็นสิทธิที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้ และไม่ก่อให้โจทก์ทั้งสี่ได้สิทธิจะใช้ทางน้ำได้ตลอดไป เมื่อจำเลยที่ 6 ปิดทางน้ำของตน จึงมิใช่เป็นการล่วงสิทธิโจทก์ทั้งสี่ตามกฎหมาย แม้โจทก์ทั้งสี่จะเดือดร้อนเพราะการกระทำของจำเลยที่ 6 โจทก์ทั้งสี่ก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องขอให้จำเลยที่ 6 เปิดทางน้ำพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำชำเราโดยยินยอม ไม่ถือเป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน แม้จะเคยเข้าบ้านผู้เสียหายมาก่อน
จำเลยเช่าเล้าเป็ดของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาผู้เสียหาย จำเลยเคยเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายในบ้านโจทก์ร่วมก่อนเกิดเหตุหลายครั้งในขณะที่ผู้เสียหายอยู่บ้านตามลำพัง วันเกิดเหตุจำเลยเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายยินยอม ดังนี้ไม่อาจถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถานของโจทก์ร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนายักยอกเงิน - ยินยอมให้ใช้เงินก่อนแล้วคืนภายหลัง ไม่ถือเป็นความผิดอาญา
จำเลยเป็นพนักงานทำหน้าที่เหรัญญิกและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของโจทก์ร่วม จำเลยรับเงินจำนวน 20,000 บาท จาก ท. ซึ่งนำมาวางค้ำประกันการเข้าทำงานกับโจทก์ร่วม แต่จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวโดยไม่นำเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมตามคำสั่งของส.หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ร่วมเมื่อส. สอบถามจำเลยจำเลยก็แจ้งให้ทราบว่าขอเอาไปใช้ก่อนเพราะครอบครัวเดือดร้อนและจะนำมาคืนให้สิ้นเดือนมีนาคม 2532 ส. มิได้ดำเนินการอะไรเมื่อถึงกำหนดจำเลยผิดนัด ส. ก็ยังกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินมาคืนภายในวันที่ 29 เมษายน 2532 ครั้งถึงกำหนดจำเลยยังไม่นำเงินมาคืนอีกและจะออกจากงาน ส. ก็ขอร้องให้จำเลยทำงานต่อไปจนกระทั่งวันที่ 2 พฤษภาคม 2532 จำเลยไม่มาทำงาน ในวันที่ 13มิถุนายน 2532 ส. จึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ตามพฤติการณ์จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมยินยอมให้จำเลยนำเงินจำนวน 20,000 บาทไปใช้ก่อนแล้วเอามาคืนให้ครบจำนวนภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้การที่จำเลยผิดนัดไม่นำเงินมาคืนให้โจทก์ร่วมและต่อสู้ว่าไม่ได้เอาเงินจำนวนดังกล่าวไป ก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จึงเป็นเรื่องที่จะกล่าวกันทางแพ่งไม่เป็นความผิดอาญาฐานยักยอก ดังนี้ พนักงานอัยการจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินจำนวน 20,000 บาท คืนให้ผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4672/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้เลือกที่ดินก่อน ไม่ขัดขวางการแบ่งแยกตามคำพิพากษา จำเลยต้องปฏิบัติตาม
เมื่อโจทก์ยินยอมให้จำเลยเลือกส่วนของที่ดินที่แบ่งแยกแล้วได้ก่อนกรณีจึงถือไม่ได้ว่าการแบ่งแยกที่ดินพิพาทไม่อาจกระทำได้ตามคำพิพากษา ซึ่งกำหนดให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4672/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาแบ่งแยกที่ดิน: โจทก์ยินยอมให้จำเลยเลือกที่ดินก่อน ย่อมผูกพัน
เมื่อโจทก์ยินยอมให้จำเลยเลือกส่วนของที่ดินที่แบ่งแยกแล้วได้ก่อน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าการแบ่งแยกที่ดินพิพาทไม่อาจกระทำได้ตามคำพิพากษา ซึ่งกำหนดให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4222/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สินที่บังคับคดีได้ แม้มีข้อจำกัดในการโอน หากผู้ให้เช่ายินยอม
สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สิน แม้ตามสัญญาระหว่างจำเลยผู้เช่ากับวัดผู้ใช้เช่า จะห้ามมิให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าไปยังบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากวัด ก็ไม่ใช่ทรัพย์สิน ที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย เพราะหากวัดผู้ให้เช่ายินยอมก็สามารถ โอนกันได้ ทั้งไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าเป็นทรัพย์ที่ไม่อยู่ ในความรับผิดแห่งการบังคดีดังนั้น สิทธิการเช่าของจำเลยจึงมิใช่ ทรัพย์ที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285(4)