พบผลลัพธ์ทั้งหมด 919 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล่อซื้อยาเสพติด, ความผิดพยายามจำหน่าย, และการลดโทษจากคำรับสารภาพ
การที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้สายลับนำเงินไปล่อซื้อ ยาเสพติดให้โทษจากจำเลยมิได้เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย มิได้ผิดศีลธรรมหรือทำนองคลองธรรม มิได้เป็นการใส่ร้าย ป้ายสีหรือยัดเยียด ความผิดให้จำเลย หากจำเลยมิได้มี ยาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อสายลับ ไปขอซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลย จำเลยย่อมไม่มียาเสพติดให้โทษ จะจำหน่ายให้แก่สายลับ ความผิดย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการ เพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่เป็นการแสวงหาหลักฐานโดยมิชอบ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน รับฟังลงโทษจำเลยได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 จำเลยรับเงินจากสายลับ แล้วจำเลยไปหยิบฝิ่นมา แต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบฝิ่นให้แก่สายลับ เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับ จำเลยเสียก่อน จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานจำหน่ายฝิ่น คงมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้นปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5368/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาอาญา: การพิจารณาโทษฐานฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่า และการลดโทษจากคำรับสารภาพ
ความผิดฐานมีและพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้เป็นไม่ลดโทษให้จำเลยทุกข้อหา จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกพบผู้ตายและผู้เสียหายโดยบังเอิญที่ปั๊มน้ำมัน โดยต่าง ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และขณะเติมน้ำมันรถไม่ปรากฏว่าจำเลย กับพวกเกิดทะเลาะโต้เถียงกับผู้ตายและผู้เสียหายแต่อย่างใด แม้จำเลยจะให้การว่าเมื่อจำเลย ถามพวกว่าจะเอาอย่างไร จะยิงยางแล้วจี้ใช่ไหม พวกบอกว่าให้ยิงคนขับทิ้งก็เป็นการตกลง เพื่อความสะดวกในการจะชิงทรัพย์ อันเป็นการมุ่งกระทำต่อทรัพย์นั้นเอง พฤติการณ์ตาม รูปคดียังไม่หนักแน่นมั่นคงพอจะฟังว่า จำเลยกับพวกฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลฎีกาให้ยกเอาคำให้การของจำเลยดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดี ถือว่าคำให้การของจำเลยนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดให้ และให้มีผลถึงความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนซึ่งต้องห้าม มิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4288/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพ vs. จำหน่าย: ศาลฎีกาแก้เป็นครอบครองเพื่อเสพ ลดโทษ
++ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
++ จำเลยฎีกา
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 179 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
++ จำเลยฎีกา
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 179 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3641/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือประนีประนอมไม่ระงับหนี้ละเมิดทั้งหมด เจตนาชำระหนี้บางส่วนและลดโทษอาญา
หนังสือประนีประนอมเอกสารที่พิพาทเป็นแบบพิมพ์ของจำเลยที่ 2ถูกทำขึ้นไว้ก่อนแล้วนำมาให้ ส.ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ลงชื่อรับเงินในวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส โดยจำเลยที่ 2 มิได้มอบเงินจำนวนที่ระบุในหนังสือประนีประนอมให้แก่โจทก์ในวันที่ระบุในหนังสือประนีประนอม และโจทก์ยังติดใจเรียกร้องค่าเสียหายส่วนที่ขาดอยู่อีก การยอมรับเงินจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอม โจทก์มีเจตนารับชำระไว้เป็นค่าเสียหายเพียงบางส่วนกับมีเจตนาเพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับโทษทางอาญาในสถานเบา มิใช่เป็นการตกลงกันในค่าเสียหายทั้งหมด มูลหนี้ละเมิดที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ดังกล่าวจึงยังไม่ระงับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 358/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อำนาจศาลในการพิจารณาคำร้องลดโทษตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษ และฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่ใช่ศาลแห่งท้องที่ซึ่งพิจารณาออกหมายลดโทษให้แก่จำเลย ตาม พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2539ไม่มีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของจำเลย ชอบที่จำเลยจะไปยื่นคำร้องให้ถูกทาง พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นไม่รับคำร้องของจำเลยไว้พิจารณา การที่จำเลยฎีกาว่าคณะกรรมการซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบผู้ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษและศาลแห่งท้องที่ปรับลดโทษให้จำเลยไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ขอให้ศาลฎีกาปรับลดโทษให้จำเลยใหม่อันเป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพมีผลต่อการลดโทษของจำเลย และมีผลถึงจำเลยร่วม
จำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนซึ่งคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวศาลได้ใช้ประกอบการวินิจฉัยลงโทษจำเลยที่ 1 ด้วย จึงถือว่าคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา การที่ศาลล่างทั้งสองไม่ลดโทษให้จำเลยที่ 1 จึงไม่เหมาะสมศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข และเมื่อการลดโทษให้จำเลยที่ 1 เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาให้ลดโทษไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาลงอีกด้วย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพช่วยลดโทษได้ แม้ศาลล่างไม่ลดให้ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขโทษจำเลยร่วมได้
จำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมและ ชั้นสอบสวนซึ่งคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวศาลได้ใช้ ประกอบการวินิจฉัยลงโทษจำเลยที่ 1 ด้วย จึงถือว่าคำให้การ ของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่ การพิจารณา การที่ศาลล่างทั้งสองไม่ลดโทษให้จำเลยที่ 1 จึงไม่เหมาะสมศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข และเมื่อการลดโทษให้จำเลยที่ 1 เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงมี อำนาจพิพากษาให้ลดโทษไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาลงอีกด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่า: การประเมินอันตรายจากวัตถุระเบิดและการลดโทษจากคำรับสารภาพ
ผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลเพียง 2 แห่ง ที่กลางหลังและที่ขาข้างซ้าย บาดแผลที่กลางหลังมีลักษณะถูกดินระเบิด บาดแผลกลมถลอกพอมีเลือดซึม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ส่วนที่ขาข้างซ้ายบวมแดง สันนิษฐานว่าถูกของแข็งไม่มีคม บาดแผลดังกล่าวรักษา 7 วันหาย ผู้เสียหายที่ 2 จึงได้รับ อันตรายแก่กายเพียงเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่จุดระเบิดอยู่ห่างจาก ผู้เสียหายที่ 2 เพียงประมาณไม่เกิน 2 เมตร แสดงว่า วัตถุระเบิดที่จำเลยกับพวกใช้นั้น ไม่อาจทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ถึงแก่ชีวิตได้ แม้จำเลยกับพวกจะเล็งเห็นผลของการกระทำว่า สะเก็ด ระเบิดอาจทำให้ผู้อื่นถึงตายได้ แต่การกระทำของจำเลยกับพวกเมื่อไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัย ซึ่งใช้ในการกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,81 และ 83 หาใช่มาตรา 288,80 และ 83 ไม่ คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม และศาลชั้นต้น ก็ยกเอาคำให้การดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดีด้วย ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นการให้ความรู้ แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ถึงแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจ ลดโทษให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2177/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ธนบัตรปลอมสำเร็จ แม้ผู้รับยังไม่ทอนเงิน ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาลดโทษได้เพื่อความยุติธรรม
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ฉะนั้นปัญหา ข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้วศาลฎีกาจึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยอีก จำเลยมีธนบัตรรัฐบาลไทยปลอมไว้เพื่อนำออกใช้และจำเลยได้นำธนบัตรดังกล่าวไปใช้ซื้อผลไม้จากผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244แล้ว แม้ว่าผู้เสียหายจะยังไม่ทันรับไว้สมบูรณ์ด้วยการ ทอนเงินที่เหลือจากค่าซื้อผลไม้แก่จำเลยก็ตาม ปัญหาว่า ศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกแก่จำเลยหนักเกินไปหรือไม่แม้เป็นปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามฎีกาก็ตาม แต่เมื่อ ฎีกาของจำเลยได้ขึ้นสู่ศาลฎีกาโดยปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลฎีกา เห็นว่าโทษที่จำเลยจะพึงได้รับตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ รุนแรงเกินไป ศาลฎีกาก็ชอบที่จะยกขึ้นพิจารณาได้เพื่อ ให้เกิดประโยชน์แก่ความยุติธรรม และพิพากษาวางโทษ จำคุกแก่จำเลยในสถานเบากว่านั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1285/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการสนับสนุนการปล้นทรัพย์ ศาลฎีกาแก้ไขโทษจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนฯ ลดบทลงโทษ
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะพาจำเลยที่ 2 ผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายไปประมาณ 300 เมตร แล้วจอดรถให้จำเลยที่ 2 กับพวกลงจากรถเดินย้อนกลับไปปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้เสียหาย ส่วน จำเลยที่ 1 ขับรถอ้อมไปอีกทางไปจอดรถรอรับจำเลยที่ 2 กับพวก ห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากจำเลยที่ 2 กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วได้มาขึ้นรถจำเลยที่ 1 ตามที่ นัดแนะกันไว้ จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถพาจำเลยที่ 2 กับพวก หลบหนีไปแต่ขณะจำเลยที่ 2 กับพวกทำการปล้นทรัพย์อยู่ที่ บ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 อยู่ระหว่างขับรถอ้อมมาและจอดรถห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตร จำเลยที่ 1ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 2 กับพวกได้ จึง ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียง การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 กับพวกในการ ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายก่อนกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงมีความผิด ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เท่านั้น และเมื่อจำเลยที่ 1ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีอาวุธติดตัวไปด้วย จึงไม่อาจ ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองได้ จำเลยที่ 1 คงมีความผิดตามมาตรา 340 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 เพียงขับรถมาส่งจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้าน ผู้เสียหายประมาณ 300 เมตร แล้วขับรถอ้อมไปจอดรอรับจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นเพียง การใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมเท่านั้น จำเลยที่ 1 มิได้ ใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดด้วย แม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสีย ให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225