คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
วินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 558 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5724/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานประกอบการวินิจฉัยความรับผิดในคดีขับรถประมาท และการรับฟังคำให้การชั้นสอบสวน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ง. ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้ตายได้รับอันตรายสาหัส ง. จะต้องเปิดประตูรถยนต์ออกมาเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ส่วนจำเลยได้รับอันตรายสาหัสและเมาสุราจำเลยจะต้องออกจากรถยนต์หลังจากที่ ง. ออกมาจากรถยนต์ก่อนแล้วเป็นการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยอาศัยหลักเหตุผลที่ว่าบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บมากย่อมจะต้องออกมาจากรถยนต์ช้ากว่าบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย จึงเป็นการชอบด้วยการรับฟังพยานหลักฐานแล้วหาเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่ คำให้การชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาลแต่ประการใด เมื่อปรากฏว่า ส.ให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุไม่นานและ ส. เป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงน่าเชื่อว่า ส. ให้การไปตามความจริงที่รู้เห็นมา ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของ ส. ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ นั้น จึงหาเป็นการขัดต่อกฎหมายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5522/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธข้อกล่าวหาและการพิจารณาพยานหลักฐาน ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่ถูกต้อง จึงต้องย้อนสำนวน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายที่ดินให้โจทก์โดยตกลงกันเอง โจทก์มอบเงินให้จำเลยและจำเลยมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครอง จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ขายที่ดินให้โจทก์และโจทก์มิได้ครอบครองเพื่อตนเอง คำให้การดังกล่าวของจำเลยจึงมีเพียงปฏิเสธฟ้องโจทก์เท่านั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้องส่วนจำเลยไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การถึงเหตุแห่งการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะสืบถึงรายละเอียดว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์และมอบที่ดินให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย แม้ศาลจะให้จำเลยนำสืบในรายละเอียดเหล่านี้ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานในประเด็นแห่งคดีไม่ได้
เมื่อคดียังจะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบและพฤติการณ์แห่งคดีว่า จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานเฉพาะที่นำสืบมาโดยถูกต้องและคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท การวินิจฉัยของศาล-อุทธรณ์ภาค 1 อาจมีผลทำให้คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวจากพยานหลักฐานที่นำสืบมาโดยชอบต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5522/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยพยานหลักฐานที่ไม่ชอบในชั้นอุทธรณ์ และการพิจารณาจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นต้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์โดยตกลงกันเอง โจทก์มอบเงินให้จำเลยและจำเลยมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครอง จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ขายที่ดินให้โจทก์และโจทก์มิได้ครอบครองเพื่อตนเองคำให้การของจำเลยจึงมีเพียงปฏิเสธฟ้องโจทก์เท่านั้น โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง ส่วนจำเลยไม่มีประเด็นที่จะสืบถึงรายละเอียดว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์และมอบที่ดินให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยแม้ศาลจะให้จำเลยนำสืบในรายละเอียดนี้ ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานในประเด็นดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกินเลยจากสำนวนคดี: ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงที่ไม่ได้มีการนำสืบ
โจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่าลายมือชื่อให้ความยินยอมที่ปรากฏเป็นชื่อโจทก์เป็นลายมือปลอม และไม่มีส่วนคล้ายกับลายมือชื่อโจทก์ที่แท้จริง จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีอยู่ในสำนวน เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5403/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้องในคดีสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ศาลฎีกาพิพากษาแก้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญากับโจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ที่ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและค้ำประกันหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ตกลงไม่คิดดอกเบี้ยหรือไม่ตามที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า โจทก์ตกลงไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4756/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นการฟ้องที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยจากศาลชั้นต้น แม้จำเลยอ้างเหตุไม่มีอำนาจฟ้อง
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้บอกกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนนั้น เมื่อตามฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนว่า จำเลยได้ตัดต้นอ้อยออกจากที่ดินโจทก์ไปขายหมดแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนที่ดินให้แก่โจทก์ที่จำเลยให้การว่าตามฟ้องระบุว่ายังมีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการบิดเบือนและที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บอกกล่าวมิชอบด้วยกฎหมายและไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยก็อาศัยเหตุว่ามีต้นอ้อยอยู่ในที่พิพาทเป็นหลัก เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาท อีกทั้งจำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ จึงถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระแก่คดีที่ควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3655/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอท้ายฟ้องต้องสอดคล้องกับเหตุผลที่ฟ้อง หากโจทก์อ้างสิทธิครอบครองแล้ว ศาลไม่ต้องวินิจฉัยเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทกับมีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้โจทก์จะได้บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงที่ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิไว้แล้วก็ตาม แต่ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็มิได้ขอให้ศาลขจัดข้อที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วยไม่จำต้องมาฟ้องหรือร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3457/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำเอกสารคำนวณหนี้ที่ถูกต้องมาประกอบการวินิจฉัยคดี ศาลมีอำนาจสั่งได้โดยไม่ต้องมีฝ่ายร้องขอ
ระหว่างพิจารณาคู่ความแถลงว่าให้โจทก์จัดทำเอกสารเกี่ยวกับยอดหนี้ที่ถูกต้องมาเสนอศาล เมื่อโจทก์จัดทำเอกสารมาแจ้งศาลชั้นต้นได้ออกหมายเรียก ก. มาเป็นพยานเบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวเช่นนี้เป็นอำนาจของศาลที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาได้ โดยไม่ต้องมีฝ่ายได้ร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86เพราะศาลนำเอกสารดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3206/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจปลอมและการวินิจฉัยประเด็นนอกคำคู่ความ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำให้การต่อสู้เพียงว่า นายแสงชัย นายไชยยงค์ และนายเจริญจะเป็นกรรมการมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ เพียงใด จำเลยไม่รับรองและบุคคลทั้งสามจะมีความสามารถสมบูรณ์ตามกฎหมายเพียงใดหรือไม่ ขณะที่ทำหนังสือมอบอำนาจจำเลยไม่ทราบ ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจในช่องผู้มอบอำนาจ ไม่ใช่ลายมือชื่ออันแท้จริงของผู้มอบอำนาจ เป็นลายมือปลอม ตราประทับก็เป็นตราปลอมเท่านั้น คำให้การดังกล่าวในตอนแรกที่ว่ากรรมการของโจทก์ทั้งสามจะมีอำนาจกระทำแทนโจทก์หรือไม่เพียงใด จำเลยไม่รับรองนั้น เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งถือว่าไม่ได้ให้การปฏิเสธจึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัย ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่านายแสงชัย นายไชยยงค์ และนายเจริญ เป็นกรรมการ ซึ่งกรรมการ 2 ใน 3ของจำนวนกรรมการดังกล่าวลงชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทโจทก์มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยในปัญหาว่านายแสงชัยกรรมการคนหนึ่งในจำนวนสองคนของโจทก์ที่ได้ลงชื่อร่วมกันมอบอำนาจให้นายจิรัฐฟ้องคดีนี้ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการโจทก์แล้วหรือไม่จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3206/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีและการกระทำแทนของกรรมการบริษัท: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบเท่านั้น
คำให้การต่อสู้เพียงว่า นายแสงชัยนายไชยยงค์ และนายเจริญ จะเป็นกรรมการมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ เพียงใด จำเลยไม่รับรองและบุคคลทั้งสามจะมีความสามารถสมบูรณ์ตามกฎหมายเพียงใดหรือไม่ขณะที่ทำหนังสือมอบอำนาจจำเลยไม่ทราบ ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจในช่องผู้มอบอำนาจ ไม่ใช่ลายมือชื่ออันแท้จริงของผู้มอบอำนาจ เป็นลายมือปลอม ตราประทับก็เป็นตราปลอมเท่านั้น คำให้การดังกล่าวในตอนแรกที่ว่ากรรมการของโจทก์ทั้งสามจะมีอำนาจกระทำแทนโจทก์หรือไม่เพียงใด จำเลยไม่รับรองนั้น เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งถือว่าไม่ได้ทำการปฏิเสธจึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัย ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่านายแสงชัยนายไชยยงค์ และนายเจริญ เป็นกรรมการ ซึ่งกรรมการ 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการดังกล่าวลงชื่อร่วมกันและประทับตราของบริษัทโจทก์มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยในปัญหาว่านายแสงชัยกรรมการคนหนึ่งในจำนวนสองคนของโจทก์ที่ได้ลงชื่อร่วมกันมอบอำนาจให้นายจิรัฐฟ้องคดีนี้ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการโจทก์แล้วหรือไม่จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 3ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 56