พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,865 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5637/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมการบริษัททราบฐานะการเงินออกเช็คแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่าย ถือเป็นตัวการร่วมความผิด พ.ร.บ.เช็ค
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาทโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 มอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า จำเลยที่ 2 มิใช่เป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาท แต่เมื่อเช็คพิพาทเป็นของบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1 และมีอำนาจลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ ย่อมต้องทราบฐานะการเงินของบริษัทจำเลยที่ 1 ว่ามีเงินพอ ที่จะจ่ายตามเช็คได้หรือไม่ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ในเช็คพิพาทและส่งมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดตามฟ้องด้วยแล้ว เพราะความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ไม่ได้จำกัดเฉพาะว่าผู้กระทำความผิดคือผู้ออกเช็คเท่านั้นบุคคลอื่นก็อาจร่วมกระทำเป็นตัวการด้วยได้ ตามพฤติการณ์แห่งคดี การกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ไม่ร้ายแรงนัก ทั้งจำเลยที่ 2ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วบางส่วน ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้พยายามบรรเทาผลร้ายแล้วประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรให้ความปรานีรอการลงโทษแก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 2 ได้กลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5611/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับข้อพิพาทอาญาไม่กระทบความรับผิดทางละเมิดของธนาคารที่ประมาทเรียกเก็บเช็ค
คดีเรื่องก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและ น. เป็นคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกง เนื่องจากจำเลยร่วมและ น. ร่วมกันหลอกลวงเอาเช็คไปจากโจทก์ และนำเข้าบัญชีของจำเลยร่วมเพื่อเรียกเก็บเงินที่ธนาคารจำเลยที่ 1 แต่โจทก์กับจำเลยร่วมและ น. ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดเนื่องจากพนักงานของจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ เรียกเก็บเงินตามเช็คซึ่งระบุชื่อผู้ทรงและมีข้อความขีดคร่อมห้ามเปลี่ยนมือเข้าบัญชีของจำเลยร่วม โดยไม่ตรวจสอบว่าเป็นเช็คที่ออกให้แก่บุคคลอื่น เป็นเหตุให้ธนาคารตามเช็คหักเงินจากบัญชีของโจทก์โอนเข้าบัญชีของจำเลยร่วมไป สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนจึงเป็นเรื่องระงับข้อพิพาทในความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดที่ยอมความได้เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยร่วมกับ น. หาได้มีผลถึงมูลละเมิดที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในคดีนี้ ความรับผิดในมูลละเมิดของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่ระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5603/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เสียหายในความผิดเช็ค: ต้องเป็นผู้ทรงเช็คหรือผู้เสียหายโดยตรง จึงมีสิทธิร้องทุกข์ดำเนินคดี
จำเลยสั่งซื้อสินค้าประเภทแป้งจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโจทก์ร่วมซึ่งมี ป. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยรับสินค้าไปเรียบร้อยแล้วได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ให้โจทก์ร่วมป. ได้นำเช็คพิพาทไปขายลดแก่ธนาคารและธนาคารเป็นผู้เรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาท ดังนั้น โจทก์ร่วมมิใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทจึงมิใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ การที่โจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน จึงไม่เป็นการร้องทุกข์โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 124 พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ตามมาตรา 121 วรรคสอง และมาตรา 120
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5325/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คคืนเนื่องจากผิดสัญญาซื้อขาย การบอกเลิกสัญญายังไม่ถึงที่สุด ไม่ทำให้หนี้ตามเช็คสิ้นผลผูกพัน
จำเลยและภริยาทำสัญญาซื้อขายที่ดิน พร้อมกิจการ รวมทั้งอุปกรณ์การผลิตและจำหน่ายทรายจากโจทก์ โดยชำระราคาด้วยเงินสดบางส่วน ส่วนที่เหลือชำระด้วยเช็คซึ่งมีเช็คพิพาทของจำเลยอยู่ด้วย โจทก์ได้โอนและมอบทรัพย์สินตามสัญญาดังกล่าวแก่จำเลยและภริยาแล้วตั้งแต่ก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงิน แต่เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งด้วยเรื่องผิดสัญญาซื้อขาย ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่ง แม้จำเลยยังมีข้อต่อสู้คดีอยู่ ไม่แน่นอนว่าศาลจะพิพากษาคดีเป็นประการใดการบอกเลิกสัญญาชอบหรือไม่ และคดียังไม่ถึงที่สุด กรณีจึงแตกต่างจากการที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงถือไม่ได้ว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อให้ใช้เงินสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงยังไม่เลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 เมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5268/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องร้องเช็คและการออกเช็คล่วงหน้าเพื่อค้ำประกัน
จำเลยฎีกาว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์ 13 ฉบับ ลงวันที่ 30ของทุกเดือนเช็คฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2538 โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินไม่ได้เนื่องจากธนาคารปิดบัญชีแล้ว โจทก์ย่อมทราบดีว่าเช็คฉบับต่อ ๆ ไปจะไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ เท่ากับโจทก์รู้เรื่องความผิดแล้วตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2538เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 20 กันยายน 2538 เกิน 3 เดือน คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้น เป็นการโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดตั้งแต่เมื่อใด อันเป็นฎีกาที่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยออกเช็คมอบให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2537 แต่จำนวนเงินตามเช็คจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระในวันที่ 30 มิถุนายน 2538 เป็นการออกเช็คล่วงหน้า มีลักษณะเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคต มิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายนั้น ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยออกเช็คล่วงหน้าเพื่อเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคตหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5268/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาเรื่องอายุความคดีเช็คและการออกเช็คล่วงหน้า ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์ 13 ฉบับ ลงวันที่ 30 ของทุกเดือนเช็คฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2538 โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินไม่ได้ เนื่องจากธนาคารปิดบัญชีแล้ว โจทก์ย่อมทราบดีว่าเช็คฉบับต่อ ๆ ไปจะไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้เท่ากับโจทก์รู้เรื่องความผิดแล้วตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2538 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 20 กันยายน 2538 เกิน 3 เดือน คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้นเป็นการโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดตั้งแต่เมื่อใดอันเป็นฎีกาที่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยออกเช็คมอบให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2537 แต่จำนวนเงินตามเช็คจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระในวันที่ 30 มิถุนายน 2538 เป็นการออกเช็คล่วงหน้า มีลักษณะเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคต มิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายนั้นศาลจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยออกเช็คล่วงหน้าเพื่อเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคตหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเช็คโดยมิชอบ การนำเช็คไปชำระหนี้แทนเจ้าของ และความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเช็ค
จำเลยเป็นตัวแทนของคณะนายทหารประเทศเธอร์แลนด์นำเช็ค 4 ฉบับ ไปชำระหนี้ให้แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทย3 ฉบับ และบริษัทท. อีก 1 ฉบับ ซึ่งตราบใดที่เช็คทั้งสี่ฉบับดังมิได้ส่งมอบให้แก่การสื่อสารฯ และบริษัทท.เช็คทั้งสี่ฉบับจึงยังไม่โอนไปยังการสื่อสารฯ และบริษัทท. คณะนายทหารดังกล่าวยังเป็นเจ้าของเช็คทั้งสี่ฉบับและเป็นผู้ได้รับความเสียหาย การที่จำเลยนำเอาเช็คสามฉบับที่ผู้เสียหายสั่งจ่ายให้แก่ การสื่อสารแห่งประเทศไทยไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยที่ จำเลยไม่มีสิทธิ แม้เช็คทั้งสามฉบับดังกล่าวจะไม่มีการขีดฆ่า คำว่าผู้ถือออกก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากความรับผิด ฐานเอาไปเสียซึ่งเช็คทั้งสามฉบับดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430-431/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงผ่อนชำระหนี้เช็คไม่มีผลสละสิทธิฟ้องอาญา ต้องมีเจตนาสละสิทธิชัดเจน
บันทึกข้อตกลงซึ่งมีข้อความว่า ผู้เสียหายได้ตกลงประนอมหนี้กับจำเลย ซึ่งมียอดหนี้ค้างชำระอยู่ 212,000 บาท วันนี้จำเลยชำระหนี้ให้ผู้เสียหาย 12,000 บาท ส่วนที่เหลือจะผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 10,000 บาท ทุกสิ้นเดือน นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2542 เป็นต้นไป หากผิดนัดใดนัดหนึ่งยอมให้ฟ้องบังคับคดีต่อศาล ทั้งสองฝ่ายได้อ่านข้อความแล้วเป็นไปตามวัตถุประสงค์จึงลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน บันทึกข้อตกลงดังกล่าว ไม่มีข้อความตอนใด ที่แสดงว่าผู้เสียหายตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในทันทีหรือตกลงระงับข้อพิพาทตามสัญญา ค้ำประกันและกู้เงินที่จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้ข้อตกลงดังกล่าว จึงเป็นแต่เพียงข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเท่านั้น ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมิใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ อันจะถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มูลหนี้ที่ออกเช็คพิพาทยังมีอยู่มิได้สิ้นผลผูกพัน คดีอาญายังมิได้เลิกกันตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4139/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ: การเลิกสัญญาและการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อค้างชำระ แม้มีการปฏิเสธเช็ค
สัญญาเช่าซื้อ ข้อ 7 มีความว่า "ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อและได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามแล้ว ผู้เช่าซื้อไม่ชำระให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว" ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คชำระค่าเช่าซื้อไว้ล่วงหน้า 8 ฉบับลงวันที่ 7 มีนาคม 2538 ถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2538 เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คทุกฉบับโจทก์มิได้มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลย แสดงว่าโจทก์ยังไม่มีเจตนาเลิกสัญญากับจำเลยและโดยสภาพข้อสัญญาดังกล่าวกำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ผู้ให้เช่าซื้อในการบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวเท่านั้น เมื่อโจทก์ยึดรถคืนในวันที่16 กันยายน 2538 อันเป็นพฤติการณ์ที่ถือว่ามีการเลิกสัญญา เช็คจำนวน 7 ฉบับที่สั่งจ่ายถึงวันที่ยึดรถ จึงเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจำเลยทั้งสองจึงต้องชำระหนี้ตามเช็ค7 ฉบับดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4097/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ: การบอกเลิกสัญญา, การปฏิเสธการจ่ายเช็ค, และหน้าที่ชำระหนี้ของผู้เช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อกำหนดไว้ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อภายในกำหนดตามสัญญา และได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้นำเงินที่ค้างมาชำระให้ผู้ให้เช่าซื้อภายในกำหนดระยะเวลาตามที่ระบุไว้ในหนังสือทวงถามแล้ว ผู้เช่าซื้อยังเพิกเฉย ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกเพิกถอนไป ปรากฏว่าแม้เช็คที่จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินทุกงวดอันถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา แต่โจทก์ก็มิได้มีหนังสือทวงถามให้นำเงินที่ค้างมาชำระ ยังคงปล่อยให้จำเลยครอบครองใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าซื้อต่อไป แสดงว่าโจทก์ยังคงให้โอกาสจำเลยปฏิบัติตามสัญญา สัญญาข้อนี้จึงเป็นการกำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียว หาได้มีผลเป็นการแสดงเจตนาเลิกสัญญาของผู้เช่าซื้อด้วยไม่ เพราะจำเลยผู้เช่าซื้อสามารถเลิกสัญญาได้ด้วยการส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนที่ดินแก่โจทก์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 573 กำหนดให้เป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ ดังนั้น จำเลยคงต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ตามเช็คพิพาทในมูลหนี้ค่าเช่าซื้อที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินดังกล่าว