พบผลลัพธ์ทั้งหมด 279 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้และการไม่มีอำนาจฟ้อง: ศาลฎีกายืนว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดหนี้ของผู้อื่นที่นำมารวมกับหนี้เงินกู้
หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้สองประเภท คือมูลหนี้ค่าซื้อขายรถยนต์ ซึ่งผู้อื่นเป็นหนี้กับหนี้ที่จำเลยเคยยืมเงินโจทก์ค้างชำระอยู่เดิม นำมารวมทำไว้เป็นสัญญากู้ฉบับเดียวกันให้จำเลยเป็นลูกหนี้ทั้งหมด แม้ทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าหนี้ที่รวมทำไว้เป็นสัญญากู้สมบูรณ์เฉพาะหนี้ส่วนที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ หนี้อีกประเภทหนึ่งโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย จึงเป็นการแก้มาก โจทก์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้บางส่วนและการค้ำจุนสนับสนุนหนี้เดิม ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ และความรับผิดของบิดามารดาต่อการละเมิดของบุตร
การที่ผู้รับประกันภัยของจำเลยซึ่งมีหน้าที่รับผิดต่อโจทก์โดยตรงอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 รับรองต่อโจทก์ว่าจะใช้หนี้ให้บางส่วน และจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ในมูลหนี้ละเมิดก็ได้ทำการชำระหนี้เพียงบางส่วนแก่โจทก์เป็นเพียงการค้ำจุนสนับสนุนหนี้ในมูลละเมิดเดิมของโจทก์เท่านั้นไม่มีผลเป็นการระงับหนี้เดิมและก่อหนี้ใหม่อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่แต่อย่างใด
จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์อายุ 15 ปี นำรถยนต์ในบ้านออกมาขับขี่ไปไหนมาไหนได้โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาไม่ได้ควบคุมดูแลจำเลยที่ 1 ให้ดีจำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ดังกล่าวสักกี่ครั้งก็ไม่ได้สังเกตเช่นนี้ ถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถชนรถของโจทก์เสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดแก่โจทก์จำเลยที่ 2 ที่ 3 ย่อมต้องรับผิดด้วยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429
จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์อายุ 15 ปี นำรถยนต์ในบ้านออกมาขับขี่ไปไหนมาไหนได้โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาไม่ได้ควบคุมดูแลจำเลยที่ 1 ให้ดีจำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ดังกล่าวสักกี่ครั้งก็ไม่ได้สังเกตเช่นนี้ ถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถชนรถของโจทก์เสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดแก่โจทก์จำเลยที่ 2 ที่ 3 ย่อมต้องรับผิดด้วยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้, เบี้ยปรับ, การแปลงหนี้, การบังคับจำนอง, และความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการ
ธนาคารให้กู้เงินคิดดอกเบี้ยร้อยละ 9 ต่อปี มีข้อสัญญาว่าถ้าผิดนัดให้เรียกเบี้ยปรับร้อยละ 6 ต่อปี ดังนี้ ไม่ขัดต่อประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยฯไม่เป็นโมฆะ ศาลลดลงเป็นให้ชำระร้อยละ 3 ได้
หนังสือรับสภาพหนี้ขอผ่อนชำระ และเจ้าหนี้อนุมัติ ไม่มีการเปลี่ยนสารสำคัญแห่งหนี้ไม่เป็นการแปลงหนี้ จำนองไม่ระงับ
หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องรับผิดร่วมกันในหนี้ที่ห้างกู้เงินผู้จำนองประกันหนี้ของห้างไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างต้องบังคับชำระหนี้เงินกู้ก่อน จึงจะบังคับหนี้จำนองอันเป็นอุปกรณ์
บรรยายฟ้องเรียกให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ ตอนท้ายอ้างบันทึกรับสภาพหนี้ เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงให้ชัดขึ้นไม่ขัดแย้งไม่เคลือบคลุม
หนังสือรับสภาพหนี้ขอผ่อนชำระ และเจ้าหนี้อนุมัติ ไม่มีการเปลี่ยนสารสำคัญแห่งหนี้ไม่เป็นการแปลงหนี้ จำนองไม่ระงับ
หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องรับผิดร่วมกันในหนี้ที่ห้างกู้เงินผู้จำนองประกันหนี้ของห้างไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างต้องบังคับชำระหนี้เงินกู้ก่อน จึงจะบังคับหนี้จำนองอันเป็นอุปกรณ์
บรรยายฟ้องเรียกให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ ตอนท้ายอ้างบันทึกรับสภาพหนี้ เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงให้ชัดขึ้นไม่ขัดแย้งไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้เดิมแปลงเป็นหนี้เงินกู้ได้ แม้ไม่ปรากฏในฟ้อง หากมีการนำสืบถึงความเป็นมาของหนี้ได้อย่างชัดเจน
จำเลยเป็นหนี้ค่าไม้โจทก์ โจทก์จำเลยจึงเอาหนี้ค่าไม้จำนวนนี้มาทำเป็นสัญญากู้ตามฟ้อง ย่อมผูกพันบังคับกันได้อย่างหนี้เงินกู้ และการที่โจทก์นำสืบว่า สัญญากู้รายนี้เกิดจากการซื้อขายไม้ซึ่งจำเลยค้างชำระราคาอยู่ จำเลยจึงทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ดังนี้ เป็นการนำสืบให้เห็นความเป็นมาแห่งมูลหนี้ตามฟ้อง หาใช่นอกฟ้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 315/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายแปลงหนี้ได้ แม้ราคาทรัพย์สินสูงกว่าหนี้เดิม หากราคาสัญญาเป็นราคาที่สมเหตุสมผล
จำเลยมิได้กล่าวในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ว่า สัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอม และศาลอุทธรณ์ก็มิได้ยกประเด็นที่ว่าสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในประเด็นดังกล่าว เพราะมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
จำเลยกู้เงินโจทก์ 5,000 บาท ต่อมาจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ โดยทำเป็นสัญญาจะซื้อขายที่พิพาท เป็นการแปลงหนี้ใหม่มาจากหนี้เงินกู้ยืมและในสัญญาจะซื้อขายได้กำหนดราคาที่พิพาทไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาท ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่พิพาทมีราคา 10,000 บาท สูงกว่าหนี้เงินกู้นั้น ก็เป็นราคาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาไว้สำหรับให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นเท่านั้น หาใช่ราคาท้องตลาดแห่งที่พิพาทในเวลาที่ทำสัญญากันไม่ เมื่อตามข้อสัญญาได้มีการกำหนดราคาที่พิพาทลงไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาท และไม่ปรากฏว่าเป็นราคาผิดกับราคาท้องตลาดในขณะนั้น สัญญาจะซื้อขายที่พิพาทจึงมีผลใช้บังคับได้ หาเป็นโมฆะเพราะขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 ไม่
จำเลยกู้เงินโจทก์ 5,000 บาท ต่อมาจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ โดยทำเป็นสัญญาจะซื้อขายที่พิพาท เป็นการแปลงหนี้ใหม่มาจากหนี้เงินกู้ยืมและในสัญญาจะซื้อขายได้กำหนดราคาที่พิพาทไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาท ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่พิพาทมีราคา 10,000 บาท สูงกว่าหนี้เงินกู้นั้น ก็เป็นราคาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาไว้สำหรับให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นเท่านั้น หาใช่ราคาท้องตลาดแห่งที่พิพาทในเวลาที่ทำสัญญากันไม่ เมื่อตามข้อสัญญาได้มีการกำหนดราคาที่พิพาทลงไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาท และไม่ปรากฏว่าเป็นราคาผิดกับราคาท้องตลาดในขณะนั้น สัญญาจะซื้อขายที่พิพาทจึงมีผลใช้บังคับได้ หาเป็นโมฆะเพราะขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 315/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายแปลงหนี้จากเงินกู้ยืมมีผลใช้บังคับได้ หากราคาที่ตกลงไม่ขัดกับราคาท้องตลาด
จำเลยมิได้กล่าวในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ว่าสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอมและศาลอุทธรณ์ก็มิได้ยกประเด็นที่ว่าสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในประเด็นดังกล่าวเพราะมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
จำเลยกู้เงินโจทก์ 5,000 บาท ต่อมาจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้โดยทำเป็นหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นการแปลงหนี้ใหม่มาจากหนี้เงินกู้ยืมและในสัญญาจะซื้อขายได้กำหนดราคาที่พิพาทไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาทที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่พิพาทมีราคา 10,000 บาทสูงกว่าหนี้เงินกู้นั้นก็เป็นราคาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาไว้สำหรับให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นเท่านั้นหาใช่ราคาท้องตลาดแห่งที่พิพาทในเวลาที่ทำสัญญากันไม่เมื่อตามข้อสัญญาได้มีการกำหนดราคาที่พิพาทลงไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาทและไม่ปรากฏว่าเป็นราคาผิดกับราคาท้องตลาดในขณะนั้นสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทจึงมีผลใช้บังคับได้หาเป็นโมฆะเพราะขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 ไม่
จำเลยกู้เงินโจทก์ 5,000 บาท ต่อมาจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้โดยทำเป็นหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นการแปลงหนี้ใหม่มาจากหนี้เงินกู้ยืมและในสัญญาจะซื้อขายได้กำหนดราคาที่พิพาทไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาทที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่พิพาทมีราคา 10,000 บาทสูงกว่าหนี้เงินกู้นั้นก็เป็นราคาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาไว้สำหรับให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นเท่านั้นหาใช่ราคาท้องตลาดแห่งที่พิพาทในเวลาที่ทำสัญญากันไม่เมื่อตามข้อสัญญาได้มีการกำหนดราคาที่พิพาทลงไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาทและไม่ปรากฏว่าเป็นราคาผิดกับราคาท้องตลาดในขณะนั้นสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทจึงมีผลใช้บังคับได้หาเป็นโมฆะเพราะขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ใหม่, สัญญาไม่สมบูรณ์, เลิกสัญญา, และสิทธิเรียกร้องที่บังคับใช้ไม่ได้
การที่จำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่ผู้เช่าและรับโอนสิทธิการเช่าแทน โดยจำเลยที่ 1 จะชำระเงินและโอนสิทธิการเช่าคืนจากจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 เป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์ให้โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 โอนสิทธิการเช่าแก่โจทก์จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนทั้งตัวเจ้าหนี้และลูกหนี้ และเมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติเรื่องโอนสิทธิเรียกร้องดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 กับโจทก์ตกลงกันด้วยวาจาโดยมิได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่สมบูรณ์ไม่มีผลใช้บังคับ
เมื่อสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มิได้กำหนดวันชำระเงินและจำเลยที่ 2 บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระภายใน 3 วัน นับแต่วันรับหนังสือ หากพ้นกำหนดจะถือเป็นการขอถอนคำมั่นนั้น เป็นการกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และขอเลิกสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดสัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน
สัญญาซึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1กับโจทก์ทั้งสองฝ่ายมีข้อความบ่งชัดว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่เพียงคำมั่น แต่การที่จำเลยที่ 1 บอกกล่าวกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระเงิน โจทก์ไม่ชำระตามเวลากำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยรับชำระเงินจากโจทก์แล้วโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์
เมื่อสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มิได้กำหนดวันชำระเงินและจำเลยที่ 2 บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระภายใน 3 วัน นับแต่วันรับหนังสือ หากพ้นกำหนดจะถือเป็นการขอถอนคำมั่นนั้น เป็นการกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และขอเลิกสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดสัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน
สัญญาซึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1กับโจทก์ทั้งสองฝ่ายมีข้อความบ่งชัดว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่เพียงคำมั่น แต่การที่จำเลยที่ 1 บอกกล่าวกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระเงิน โจทก์ไม่ชำระตามเวลากำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยรับชำระเงินจากโจทก์แล้วโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาโอนสิทธิการเช่า: การแปลงหนี้ด้วยวาจาไม่สมบูรณ์, การบอกเลิกสัญญา, และผลของการไม่ปฏิบัติตามกำหนดเวลาชำระหนี้
การที่จำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่ผู้เช่าและรับโอนสิทธิการเช่าแทนโดยจำเลยที่ 1 จะชำระเงินและโอนสิทธิการเช่าคืนจากจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 เป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้เมื่อจำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์ให้โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 โอนสิทธิการเช่าแก่โจทก์จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนทั้งตัวเจ้าหนี้และลูกหนี้ และเมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติเรื่องโอนสิทธิเรียกร้องดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 กับโจทก์ตกลงกันด้วยวาจาโดยมิได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่สมบูรณ์ไม่มีผลใช้บังคับ
เมื่อสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มิได้กำหนดวันชำระเงินและจำเลยที่ 2 บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระภายใน 3 วัน นับแต่วันรับหนังสือหากพ้นกำหนดจะถือเป็นการขอถอนคำมั่นนั้นเป็นการกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และขอเลิกสัญญาเมื่อจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดสัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน
สัญญาซึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 กับโจทก์ทั้งสองฝ่ายมีข้อความบ่งชัดว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่เพียงคำมั่น แต่การที่จำเลยที่ 1 บอกกล่าวกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระเงินโจทก์ไม่ชำระตามเวลากำหนดโจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยรับชำระเงินจากโจทก์แล้วโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์
เมื่อสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มิได้กำหนดวันชำระเงินและจำเลยที่ 2 บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระภายใน 3 วัน นับแต่วันรับหนังสือหากพ้นกำหนดจะถือเป็นการขอถอนคำมั่นนั้นเป็นการกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้และขอเลิกสัญญาเมื่อจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดสัญญาจึงเป็นอันเลิกกัน
สัญญาซึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 กับโจทก์ทั้งสองฝ่ายมีข้อความบ่งชัดว่าสัญญาเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่เพียงคำมั่น แต่การที่จำเลยที่ 1 บอกกล่าวกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระเงินโจทก์ไม่ชำระตามเวลากำหนดโจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โดยรับชำระเงินจากโจทก์แล้วโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้จากเช็คเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และการยินยอมให้ลงวันที่เช็ค
ปัญหาเรื่องการแปลงหนี้จากเช็คเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยไม่ยกขึ้นต่อสู้โดยชัดแจ้ง จึงไม่เป็นประเด็นในคดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แม้จำเลยจะไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็ค แต่ก็เป็นเช็คที่จำเลยออกชำระหนี้ ย่อมถือได้โดยปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายได้เอง เมื่อไม่ได้ความว่า โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายโดยไม่สุจริต จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แม้จำเลยจะไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็ค แต่ก็เป็นเช็คที่จำเลยออกชำระหนี้ ย่อมถือได้โดยปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายได้เอง เมื่อไม่ได้ความว่า โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายโดยไม่สุจริต จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ ศาลพิจารณาเจตนาแท้จริงจากการกระทำและเอกสารประกอบคดี
จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจำเลยที่ 2 ทำหนังสือตกลงรับชำระหนี้รายนี้และใช้หนี้นั้นไป 3 งวด และขอลดอัตราดอกเบี้ยเป็นการกระทำภายในวัตถุประสงค์ที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดรับโอนกิจการของจำเลยที่ 1 มาทำ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดโดยการ แปลงหนี้ใหม่ ซึ่งศาลตีความในเอกสารประกอบพฤติการณ์แห่งคดีทั้งมวลโดยเพ่งเล็งเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าตัวอักษร