พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำเลยในคดีอาญาพิจารณาจากเหตุผลการรับสารภาพ, สภาพเมาสุรา และพยานหลักฐาน
การที่จำเลยดื่มสุราจนมึนเมาแล้วก่อเหตุร้ายขึ้นนั้นไม่ใช่เหตุอันควรปรานีเสมอไป
จำเลยให้การรับว่าได้แทงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวเช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยปฏิเสธความผิด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบจนคดีฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันจึงจะลงโทษจำเลยได้ แม้ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์จำเลยกลับให้การใหม่ยอมรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งเสมอไปจะต้องพิเคราะห์ด้วยว่า คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเพียงใด หรือไม่ ถ้าการรับสารภาพของจำเลยพอถือได้ว่าเป็นการจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะปรานีลดโทษให้ถึงกึ่ง
จำเลยให้การรับว่าได้แทงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวเช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยปฏิเสธความผิด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบจนคดีฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันจึงจะลงโทษจำเลยได้ แม้ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์จำเลยกลับให้การใหม่ยอมรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งเสมอไปจะต้องพิเคราะห์ด้วยว่า คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเพียงใด หรือไม่ ถ้าการรับสารภาพของจำเลยพอถือได้ว่าเป็นการจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะปรานีลดโทษให้ถึงกึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำเลยในคดีอาญาพิจารณาจากพยานหลักฐาน, การยอมรับสารภาพ, และเหตุผลในการลดโทษ
การที่จำเลยดื่มสุราจนมึนเมาแล้วก่อเหตุร้ายขึ้นนั้น ไม่ใช่เหตุอันควรปรานีเสมอไป
จำเลยให้การรับว่าได้แทงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวเช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยปฏิเสธความผิด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบจนคดีฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันจึงจะลงโทษจำเลยได้ แม้ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์จำเลยกลับให้การใหม่ยอมรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งเสมอไป จะต้องพิเคราะห์ด้วยว่า คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเพียงใดหรือไม่ ถ้าการรับสารภาพของจำเลยพอถือได้ว่าเป็นการจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะปรานีลดโทษให้ถึงกึ่ง
จำเลยให้การรับว่าได้แทงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวเช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยปฏิเสธความผิด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบจนคดีฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันจึงจะลงโทษจำเลยได้ แม้ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์จำเลยกลับให้การใหม่ยอมรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งเสมอไป จะต้องพิเคราะห์ด้วยว่า คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเพียงใดหรือไม่ ถ้าการรับสารภาพของจำเลยพอถือได้ว่าเป็นการจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะปรานีลดโทษให้ถึงกึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2187/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อเมื่อมีการพิพากษาคดีอื่นถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยและขอให้นับโทษต่อกับโทษในคดีอีกเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ แต่ให้ยกคำขอให้นับโทษต่อเพราะคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้นศาลยังมิได้ตัดสิน จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาและยื่นคำแถลงว่าคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้น ศาลพิพากษาลงโทษแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาพิพากษาให้นับโทษต่อได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2187/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อระหว่างคดีอาญา การกลับคำพิพากษา และการเปลี่ยนแปลงสถานะคดี
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยและขอให้นับโทษต่อกับโทษในคดีอีกเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ แต่ให้ยกคำขอให้นับโทษต่อเพราะคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้นศาลยังมิได้ตัดสิน จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาและยื่นคำแถลงว่าคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้น ศาลพิพากษาลงโทษแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาพิพากษาให้นับโทษต่อได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนและการพิสูจน์ความผิดในคดีอาญา: โจทก์ต้องพิสูจน์การกระทำความผิด แม้ไม่มีพยานรู้เห็น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนา จำเลยให้การว่าทำร้ายผู้ตายเพราะผู้ตายกับพวกเข้าปล้นบ้านจำเลย จำเลยไม่ได้กระทำผิด ดังนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความจริง แต่การนำสืบในกรณีเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีประจักษ์พยานมาเบิกความเสมอไป ถ้อยคำพยานและเหตุผลแวดล้อมอาจมีน้ำหนักพอให้วินิจฉัยได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1927/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง: จำเลยต้องไม่ใช่คู่ความในคดีอาญา
จำเลยเป็นแต่เพียงผู้เสียหาย มิได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการโจทก์ ดังนั้น ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงไม่ผูกพันจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพและการลดโทษในคดีอาญา: ศาลพิจารณาพยานหลักฐานและบทบาทของจำเลยแต่ละคน
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามฟ้อง แต่ปรากฏจากพยานหลักฐานของโจทก์ที่สืบประกอบคำรับสารภาพว่า เจ้าพนักงานได้ทรัพย์สินของผู้เสียหาย ที่ถูกปล้นไปจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 หัวกระสุนปืนที่ขุดได้ที่พื้นดินใต้ศพผู้ตาย เป็นหัวกระสุนปืนที่ใช้ยิงจากปืนของกลางที่จับได้จาก จำเลยที่ 1 ผู้เสียหายแจ้งถึงรูปร่าง ผิวเนื้อลักษณะหน้าตา ตลอดจนอายุและเครื่องแต่งกายของจำเลยได้ละเอียดและชี้ตัวได้ถูกต้อง และพยานโจทก์อีก 2 ปาก ก็จำจำเลยได้ เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งมีทั้งพยานบุคคลและพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีของคดีแน่นหนามั่นคงเช่นนี้ คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และ 2 จึงไม่พอจะถือได้ว่าให้ความรู้แก่ศาลอันจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี จึงไม่เป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เจ้าพนักงานตำรวจจับได้เพราะคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 และ 2 คำซัดทอดของจำเลยด้วยกันย่อมฟังเป็นหลักฐานยันจำเลยไม่ได้ และพนักงานสอบสวนไม่ได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายซึ่งถูกปล้นไปจากจำเลยที่ 3 เลย ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนตลอดมาถึงชั้นศาลจึงพอถือได้ว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่มากเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เจ้าพนักงานตำรวจจับได้เพราะคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 และ 2 คำซัดทอดของจำเลยด้วยกันย่อมฟังเป็นหลักฐานยันจำเลยไม่ได้ และพนักงานสอบสวนไม่ได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายซึ่งถูกปล้นไปจากจำเลยที่ 3 เลย ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนตลอดมาถึงชั้นศาลจึงพอถือได้ว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่มากเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพและการลดโทษในคดีอาญา: การพิจารณาประโยชน์ของการรับสารภาพต่อการพิจารณาคดี
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามฟ้อง แต่ปรากฏจากพยานหลักฐานของโจทก์ที่สืบประกอบคำรับสารภาพว่า เจ้าพนักงานได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ถูกปล้นไปจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 หัวกระสุนปืนที่ขุดได้ที่พื้นดินใต้ศพผู้ตายเป็นหัวกระสุนปืนที่ใช้ยิงจากปืนของกลางที่จับได้จากจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายแจ้งถึงรูปร่าง ผิวเนื้อลักษณะหน้าตา ตลอดจนอายุและเครื่องแต่งกายของจำเลยได้ละเอียดและชี้ตัวได้ถูกต้อง และพยานโจทก์อีก 2 ปาก ก็จำจำเลยได้ เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งมีทั้งพยานบุคคลและพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีของคดีแน่นหนามั่นคงเช่นนี้ คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และ 2 จึงไม่พอจะถือได้ว่าให้ความรู้แก่ศาลอันจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี จึงไม่เป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เจ้าพนักงานตำรวจจับได้เพราะคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 และ 2 คำซัดทอดของจำเลยด้วยกันย่อมฟังเป็นหลักฐานยันจำเลยไม่ได้ และพนักงานสอบสวนไม่ได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายซึ่งถูกปล้นไปจากจำเลยที่ 3 เลย ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนตลอดมาถึงชั้นศาลจึงพอถือได้ว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่มากเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เจ้าพนักงานตำรวจจับได้เพราะคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 และ 2 คำซัดทอดของจำเลยด้วยกันย่อมฟังเป็นหลักฐานยันจำเลยไม่ได้ และพนักงานสอบสวนไม่ได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายซึ่งถูกปล้นไปจากจำเลยที่ 3 เลย ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนตลอดมาถึงชั้นศาลจึงพอถือได้ว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่มากเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1755/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีแพ่งต้องผูกพันตามข้อเท็จจริงที่ศาลตัดสินในคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งและคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกันมาในคำฟ้องฉบับเดียวกัน การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่โจทก์กล่าวหาในส่วนอาญาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดว่า เป็นใบมอบอำนาจเอกสารที่แท้จริงถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ดังนี้ คดีในส่วนแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาบังคับให้ตามคำขอได้ ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่โจทก์กล่าวหาในส่วนอาญาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดว่า เป็นใบมอบอำนาจเอกสารที่แท้จริงถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ดังนี้ คดีในส่วนแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาบังคับให้ตามคำขอได้ ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1755/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาในคดีแพ่ง: ศาลต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอาญาชี้ขาด
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งและคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกันมาในคำฟ้องฉบับเดียวกัน การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่โจทก์กล่าวหาในส่วนอาญาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดว่า เป็นใบมอบอำนาจเอกสารที่แท้จริงถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ดังนี้ คดีในส่วนแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาบังคับให้ตามคำขอได้ ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่โจทก์กล่าวหาในส่วนอาญาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดว่า เป็นใบมอบอำนาจเอกสารที่แท้จริงถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ดังนี้ คดีในส่วนแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาบังคับให้ตามคำขอได้ ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์