คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ลูกจ้าง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,226 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3538/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างและการพิสูจน์ความผิดทางอาญา: นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างเมื่อไม่ไว้วางใจลูกจ้าง แม้ไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
แม้โจทก์จะถูกกล่าวหาว่าร่วมกับผู้อื่นค้ายาเสพติดให้โทษเฮโรอีนแต่เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ความผิดที่โจทก์ถูกกล่าวหามิได้มีการฟ้องให้ศาลพิจารณาพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้กระทำผิดแล้วก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้กระทำผิดดังข้อกล่าวหาและไม่มีเหตุที่จะถือว่าโจทก์ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างได้ โดยไม่จ่ายค่าชดเชย
การเลิกจ้างที่จะถือว่าไม่เป็นธรรมนั้นย่อมต้องพิเคราะห์ถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างว่านายจ้างมีเหตุอันสมควรหรือเพียงพอที่จะเลิกจ้างลูกจ้างหรือไม่ เป็นคนละเหตุกับการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยซึ่งต้องพิเคราะห์ถึงว่าลูกจ้างกระทำผิดต่อระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายหรือไม่เมื่อระเบียบของจำเลยให้คำนิยามคำว่า "เลิกจ้าง" ไว้ว่าหมายความว่า "มาตรการลงโทษที่ใช้กับพนักงานซึ่งบริษัทไม่ไว้วางใจและไม่ประสงค์ที่จะให้อยู่ทำการกับบริษัทต่อไปหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่งงาน"พฤติการณ์ของโจทก์มีเหตุอันสมควรและเพียงพอที่จำเลยจะไม่ไว้วางใจและให้โจทก์ทำงานกับจำเลยต่อไป ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3538/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา แม้ไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการเลิกจ้างที่สมเหตุผล
แม้โจทก์จะถูกกล่าวหาว่าร่วมกับผู้อื่นค้ายาเสพติดให้โทษเฮโรอีน แต่เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ความผิดที่โจทก์ถูกกล่าวหามิได้มีการฟ้องให้ศาลพิจารณาพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้กระทำผิดแล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้กระทำผิดดังข้อกล่าวหาและไม่มีเหตุที่จะถือว่าโจทก์ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างได้ โดยไม่จ่ายค่าชดเชย
การเลิกจ้างที่จะถือว่าไม่เป็นธรรมนั้นย่อมต้องพิเคราะห์ถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างว่านายจ้างมีเหตุอันสมควรหรือเพียงพอที่จะเลิกจ้างลูกจ้างหรือไม่ เป็นคนละเหตุกับการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ซึ่งต้องพิเคราะห์ถึงว่าลูกจ้างกระทำผิดต่อระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายหรือไม่เมื่อระเบียบของจำเลยให้คำนิยามคำว่า 'เลิกจ้าง' ไว้ว่าหมายความว่า 'มาตรการลงโทษที่ใช้กับพนักงานซึ่งบริษัทไม่ไว้วางใจและไม่ประสงค์ที่จะให้อยู่ทำการกับบริษัทต่อไปหรือยุบหน่วยงานหรือตำแหน่งงาน' พฤติการณ์ของโจทก์มีเหตุอันสมควรและเพียงพอที่จำเลยจะไม่ไว้วางใจและให้โจทก์ทำงานกับจำเลยต่อไป ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 352/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงแบ่งรายได้ตัดผม ไม่เป็นนายจ้าง-ลูกจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์เป็นช่างตัดผมอยู่ที่ร้านของจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ ค่าตัดผมที่โจทก์ตัดจำเลยได้ร้อยละ 40 โจทก์ได้ร้อยละ 60 ไม่มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ลักษณะเห็นได้ว่าจำเลยไม่มีอำนาจสั่งการเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ โดยเป็นทำนองจำเลยมีร้านตัดผมและอุปกรณ์แต่ไม่สามารถตัดเองได้ ก็หาประโยชน์โดยเปิดโอกาสให้ช่างตัดผมเข้ามาทำการตัดผมในร้านของจำเลยและแบ่งรายได้ที่ช่างตัดผมได้รับเป็นของจำเลยส่วนหนึ่ง การทำงานของโจทก์เป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งค่าจ้างจากลูกค้า ค่าจ้างที่โจทก์ได้รับมิใช่ค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ตกลงทำงานให้แก่จำเลยเพื่อรับค่าจ้าง โจทก์จึงมิใช่ลูกจ้างของจำเลยตามความหมายแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเนื่องจากลูกจ้างไม่ลงชื่อรับทราบคำเตือน การกระทำดังกล่าวไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบอย่างร้ายแรง
โจทก์กระทำผิดระเบียบโดยมาทำงานสาย จำเลยได้ออกคำเตือนเป็นหนังสือให้โจทก์ลงชื่อรับทราบ แต่โจทก์ขัดขืนและโต้เถียงกับผู้จัดการของจำเลย ดังนี้จำเลยมีวิธีการแจ้งให้โจทก์ทราบคำเตือนโดยวิธีอื่นได้ เช่น แจ้งด้วยวาจาหรือปิดประกาศคำเตือนให้ทราบการขัดขืนไม่ยอมลงชื่อรับทราบคำเตือนจึงมิใช่การฝ่าฝืนคำสั่งระเบียบข้อบังคับเป็นการร้ายแรง แม้โจทก์ได้โต้เถียงกับผู้จัดการด้วยก็ไม่ได้ความว่าเป็นเรื่องอื่นนอกเหนือจากผู้จัดการจะให้โจทก์ลงชื่อรับทราบคำเตือนจึงจะปรับการกระทำของโจทก์ขึ้นเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งระเบียบข้อบังคับเป็นการร้ายแรงหาได้ไม่ จำเลยไม่มีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3465/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะกรรมการบริษัทเป็นลูกจ้างหรือไม่ พิจารณาจากข้อตกลงทำงานและค่าตอบแทน
ประธานกรรมการฝ่ายบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์เป็นบุคคลซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของบริษัทตั้งขึ้นให้มีอำนาจหน้าที่จัดการบริษัทตามข้อบังคับในความครอบงำของที่ประชุมใหญ่และเป็นผู้แทนแสดงความประสงค์ของบริษัทมิใช่บุคคลที่บริษัทตกลงรับเข้าทำงานทั้งมิใช่เป็นผู้ที่ ต้องทำงานภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของบริษัทประธานกรรมการฝ่ายบริหารและกรรมการผู้จัดการจึงมิใช่ลูกจ้างของบริษัทโจทก์ และจะเป็นลูกจ้างของบริษัทต่อเมื่อเป็นผู้ตกลงทำงานให้แก่บริษัทเพื่อรับค่าจ้างอีกชั้นหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3465/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะกรรมการบริษัท: ลูกจ้างหรือไม่? พิจารณาจากข้อตกลงทำงานและค่าตอบแทน
ประธานกรรมการฝ่ายบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์เป็นบุคคลซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของบริษัทตั้งขึ้นให้มีอำนาจหน้าที่จัดการบริษัทตามข้อบังคับในความครอบงำของที่ประชุมใหญ่และเป็นผู้แทนแสดงความประสงค์ของบริษัทมิใช่บุคคลที่บริษัทตกลงรับเข้าทำงานทั้งมิใช่เป็นผู้ที่ ต้องทำงานภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของบริษัทประธานกรรมการฝ่ายบริหารและกรรมการผู้จัดการจึงมิใช่ลูกจ้างของบริษัทโจทก์ และจะเป็นลูกจ้างของบริษัทต่อเมื่อเป็นผู้ตกลงทำงานให้แก่บริษัทเพื่อรับค่าจ้างอีกชั้นหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3434/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาค่าทดแทนกรณีลูกจ้างถูกฆ่าตายก่อนเริ่มทำงาน และการพิสูจน์ความเชื่อมโยงกับการทำงาน
ผู้ตายเป็นพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีหน้าที่เป็นพนักงานกำกับการเดินรถ เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 00.00นาฬิกาถึง 8.00 นาฬิกา ในวันรุ่งขึ้น วันเกิดเหตุผู้ตาย ไปถึงย่านปล่อยรถเวลา 21 นาฬิกาเศษ เพื่อรอโดยสารรถยนต์ของเพื่อนร่วมงานไปยังหอควบคุมการเดินรถซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 600 เมตร รออยู่จนกระทั่ง 22 นาฬิกาก็ยังไม่มาผู้ตายจึงเดินไปเอง หลังจากนั้นประมาณ 5 นาทีผู้ตายถูกยิงถึงแก่ความตาย ดังนี้ ถือว่าผู้ตายถูกยิงตายก่อนเริ่มลงมือทำงาน ถือไม่ได้ว่าผู้ตายถูกฆ่าตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3434/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาค่าทดแทนกรณีลูกจ้างถูกฆ่าตายก่อนเริ่มทำงาน และความเชื่อมโยงกับการทำงานหรือป้องกันประโยชน์ให้นายจ้าง
ผู้ตายเป็นพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีหน้าที่เป็นพนักงานกำกับการเดินรถ เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 00.00นาฬิกา ถึง 8.00 นาฬิกา ในวันรุ่งขึ้น วันเกิดเหตุผู้ตาย ไปถึงย่านปล่อยรถเวลา 21 นาฬิกาเศษ เพื่อรอโดยสารรถยนต์ของเพื่อนร่วมงานไปยังหอควบคุมการเดินรถซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 600 เมตร รออยู่จนกระทั่ง 22 นาฬิกาก็ยังไม่มาผู้ตายจึงเดินไปเอง หลังจากนั้นประมาณ 5 นาทีผู้ตายถูกยิงถึงแก่ความตาย ดังนี้ ถือว่าผู้ตายถูกยิงตายก่อนเริ่มลงมือทำงาน ถือไม่ได้ว่าผู้ตายถูกฆ่าตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเนื่องจากสามีของลูกจ้างทำงานกับคู่แข่ง
จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเพื่อความเหมาะสมเพราะเหตุที่ สามีโจทก์ไปทำงานกับบริษัทอื่นซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งขันทางธุรกิจกับจำเลย เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ตาม มาตรา 49 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3333-3337/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้าง แม้ไม่มีคำสั่งโดยตรง
การที่จำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปซ่อม แม้โจทก์จะไม่มีพยานนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ขับรถเพื่อนำไปซ่อมตามคำสั่งของผู้ใด แต่รถนั้นก็เป็นรถที่ใช้งานของจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับประจำ และจำเลยที่ 1 เก็บรักษากุญแจรถไว้เอง จึงเป็นกิจการที่กระทำไปเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 โดยตรง เมื่อเกิดเหตุขึ้นย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ปัญหาเรื่องค่าสินไหมทดแทนศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยเสียค่าดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 7 (โจทก์สำนวนที่ 5) ด้วยนั้นคลาดเคลื่อนไปเพราะโจทก์ที่ 7 มิได้เรียกร้องเอาดอกเบี้ย เป็นการเกินคำขอและกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้
of 223