พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ประกันในการขอลดค่าปรับแม้ชำระแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจลดค่าปรับได้ตามสมควร
การที่ผู้ประกันนำเงินค่าปรับฐานผิดสัญญาประกันซึ่งศาลสั่งปรับมาชำระต่อศาลนั้น เป็นวิธีการทุเลาการบังคับหาทำให้สิทธิที่จะขอลดค่าปรับหมดไปไม่ เพราะผู้ประกันย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาขอลดได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่ารูปคดีมีเหตุสมควรที่จะลดหย่อนค่าปรับให้แก่ผู้ประกันได้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจให้ลดค่าปรับให้น้อยลงได้ตามสมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลคดีเด็กและเยาวชน: อายุผู้กระทำผิด ณ วันฟ้องสำคัญกว่าวันทำผิด
ความประสงค์ที่จัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนขึ้น ก็เพื่อสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชนจึงมีบทบัญญัติว่าด้วยการสอบสวนการพิจารณาและพิพากษาคดีไว้เป็นพิเศษผิดกับคดีธรรมดา ฉะนั้นแม้ขณะจำเลยทำผิด จำเลยจะมีอายุยังไม่ครบ 18 ปี บริบูรณ์ก็ตามแต่ขณะยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลนั้นอายุของจำเลยเกินกว่า 18 ปี บริบูรณ์แล้ว ดังนี้ ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางก็ไม่มีอำนาจจะพิจารณาพิพากษาคดีเช่นนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องขัดทรัพย์: ศาลมีอำนาจสั่งปล่อยทรัพย์เท่านั้น ไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากการยึดได้
การร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 นั้น กฎหมายให้อำนาจผู้ร้องที่จะร้องขอได้ แต่เพียงให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดเท่านั้น จะเรียกร้องค่าเสียหายในการที่ถูกยึดด้วยไม่ได้ หากติดใจเรียกร้องเอาค่าเสียหาย ก็ต้องว่ากล่าวอีกส่วนหนึ่ง
ร้องขัดทรัพย์ และตั้งทุนทรัพย์มาเป็นเงิน 2000 บาท กับเรียกค่าเสียหายอีก 1000 บาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ทักท้วงประการใดคงรับวินิจฉัยคดีให้ ในที่สุดพิพากษาต้องกันว่าเป็นทรัพย์ของลูกหนี้ มิใช่ของผู้ร้อง จึงยกคำร้องของผู้ร้องเสียดังนี้ ผู้ร้องจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะทรัพย์ที่พิพาทในคดีถือได้ว่ามีเพียง 2000 บาทเท่านั้น ส่วนค่าเสียหายอีก 1000 บาท ผู้ร้องจะร้องขึ้นมาด้วยไม่ได้ ต้องตัดออกเสีย
ร้องขัดทรัพย์ และตั้งทุนทรัพย์มาเป็นเงิน 2000 บาท กับเรียกค่าเสียหายอีก 1000 บาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ทักท้วงประการใดคงรับวินิจฉัยคดีให้ ในที่สุดพิพากษาต้องกันว่าเป็นทรัพย์ของลูกหนี้ มิใช่ของผู้ร้อง จึงยกคำร้องของผู้ร้องเสียดังนี้ ผู้ร้องจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะทรัพย์ที่พิพาทในคดีถือได้ว่ามีเพียง 2000 บาทเท่านั้น ส่วนค่าเสียหายอีก 1000 บาท ผู้ร้องจะร้องขึ้นมาด้วยไม่ได้ ต้องตัดออกเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 826/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเลิกห้างหุ้นส่วนและการกำหนดอำนาจศาล คดีเลิกหุ้นส่วนไม่จำต้องฟ้องทุกหุ้นส่วน ศาลมีอำนาจตามภูมิลำเนาของจำเลยบางส่วน
การที่ผู้เป็นหุ้นส่วนฟ้องเลิกหุ้นส่วนนั้น ไม่จำต้องฟ้องผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน เพราะผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นอาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือจำเลยได้ ไม่มีทางเสียเปรียบหรือเสียหายแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนอื่น ทั้งไม่มีบทกฎหมายบัญญัติบังคับให้ต้องฟ้องผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนด้วย
การฟ้องขอเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนนั้น แม้ทรัพย์สินที่พิพาทจะอยู่ที่จังหวัดพังงา และจำเลยคนหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดภูเก็ต แต่เมื่อจำเลยอื่นมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพระนครแล้ว ศาลก็ย่อมมีอำนาจที่จะใช้ดุลยพินิจอนุญาตให้โจทก์ฟ้องยังศาลในพระนครได้
การฟ้องขอเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนนั้น แม้ทรัพย์สินที่พิพาทจะอยู่ที่จังหวัดพังงา และจำเลยคนหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดภูเก็ต แต่เมื่อจำเลยอื่นมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพระนครแล้ว ศาลก็ย่อมมีอำนาจที่จะใช้ดุลยพินิจอนุญาตให้โจทก์ฟ้องยังศาลในพระนครได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งขอโอนสิทธิการเช่าและการเรียกร้องค่าเสียหายต้องได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาและอยู่ในอำนาจศาล
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าที่โจทก์เช่ามา จำเลยต่อสู้และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์โอนการเช่าห้องรายพิพาทให้จำเลย ถ้าโอนไม่ได้ให้ใช้เงิน 3000 บาท เรื่องขอโอนการเช่านั้น เมื่อไม่ปรากฎในฟ้องแย้งว่า ผู้ให้เช่าได้ยินยอมด้วย ก็ไม่มีทางบังคับได้ ส่วนทุนทรัพย์ 3000 บาท ก็เกินอำนาจศาลแขวงที่จะรับไว้บังคับบัญชา ศาลแขวงย่อมสั่งไม่รับฟ้องแย้งดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และการฟ้องแย้งขอโอนสิทธิเช่า/ค่าเสียหาย ศาลแขวงไม่มีอำนาจบังคับบัญชา
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าที่โจทก์เช่ามา จำเลยต่อสู้และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์โอนการเช่าห้องรายพิพาทให้จำเลยถ้าโอนไม่ได้ให้ใช้เงิน 3000 บาท เรื่องขอโอนการเช่านั้น เมื่อไม่ปรากฏในฟ้องแย้งว่า ผู้ให้เช่าได้ยินยอมด้วย ก็ไม่มีทางบังคับได้ส่วนทุนทรัพย์ 3000 บาทก็เกินอำนาจศาลแขวงที่จะรับไว้บังคับบัญชา ศาลแขวงย่อมสั่งไม่รับฟ้องแย้งดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสั่งห้ามประกอบการค้าตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถฎีกาได้
พ.ร.บ.สาธารณะสุข พ.ศ. 2484 มาตรา 68 ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งห้ามจำเลยมิให้ประกอบการค้านั้น ต่อไป ซึ่งเป็นการให้อำนาจศาลใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยตามเหตุการณ์แห่งคดี ถือว่าเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 8, 68 ปรับ 100 บาท ส่วนคำขอให้ห้ามจำเลยประกอบการค้าทำเต้าหู้ต่อไปนั้น ไม่บังคับให้ แต่ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ให้ห้ามจำเลยทำการค้าเต้าหู้ต่อไป ดังนี้ จำเลยจะฎีกาในข้อห้ามทำการค้าเต้าหู้ ไม่ได้ เพราะเป็นฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 8, 68 ปรับ 100 บาท ส่วนคำขอให้ห้ามจำเลยประกอบการค้าทำเต้าหู้ต่อไปนั้น ไม่บังคับให้ แต่ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ให้ห้ามจำเลยทำการค้าเต้าหู้ต่อไป ดังนี้ จำเลยจะฎีกาในข้อห้ามทำการค้าเต้าหู้ ไม่ได้ เพราะเป็นฎีกาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสั่งห้ามประกอบการค้าตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงและขอบเขตการฎีกา
พระราชบัญญัติสาธารณะสุขพ.ศ.2484 มาตรา 68 ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งห้ามจำเลยมิให้ประกอบการค้านั้นต่อไป ซึ่งเป็นการให้อำนาจศาลใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยตามเหตุการณ์แห่งคดี ถือว่าเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม พระราชบัญญัติสาธารณะสุข พ.ศ.2484 มาตรา 7,8,68 ปรับ 100 บาท ส่วนคำขอให้ห้ามจำเลยประกอบการค้าทำเต้าหู้ต่อไปนั้น ไม่บังคับให้แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ห้ามจำเลยทำการค้าเต้าหู้ต่อไป ดังนี้ จำเลยจะฎีกาในข้อห้ามทำการค้าทำเต้าหู้ไม่ได้เพราะเป็นฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม พระราชบัญญัติสาธารณะสุข พ.ศ.2484 มาตรา 7,8,68 ปรับ 100 บาท ส่วนคำขอให้ห้ามจำเลยประกอบการค้าทำเต้าหู้ต่อไปนั้น ไม่บังคับให้แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ห้ามจำเลยทำการค้าเต้าหู้ต่อไป ดังนี้ จำเลยจะฎีกาในข้อห้ามทำการค้าทำเต้าหู้ไม่ได้เพราะเป็นฎีกาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการรอการลงโทษจำคุกภายใต้กฎหมายลักษณะอาญาและการใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษภายหลัง
จำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.ฝิ่น พ.ศ. 2472 มาตรา 53 ซึ่งแก้ไขโดยม พ.ร.บ.ฝิ่น (ฉะบับที่ 6) พ.ศ. 2494 อันมีกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงยี่สิบปี และปรับสินเท่าราคาฝิ่น แต่ต้องไม่น้อยกวา 500 บาท นั้นเมื่อศาลเห็นว่าจำเลยไม่ควรรับโทษจำคุกเกินกว่า 2 ปี แล้ว ศาลจะพิพากษาให้รอการกำหนดโทษจำคุกไว้ภายใน 5 ปี ก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลและการฟ้องคดีภาษี: ทรัพย์สินที่พิพาทคือภาระหนี้สินจากการประเมินภาษี ไม่ใช่เงินภาษีที่ชำระแล้ว
ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินสรรพากร ประเมินภาษีเงินได้และเรียกเงินเพิ่มจากโจทก์เกินไปกว่าที่โจทก์จะต้องเสีย 1 ล้านบาทเศษ โจทก์อุทธรณ์ อะิบดีกรมสรรพากร มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์จึงมาฟ้องศาลตามประมวลรัษฎากรกรมมาตรา30(2) ขอให้ศาลพิพากษายกหรือกลับแก้การประเมินและคำสั่งชี้ขาดของอธิบดีกรมสรรพากรที่ให้โจทก์ชำระเงินค่าภาษีเพิ่มเติม อันไม่ถูกต้องนั้นเสีย ดังนี้ เป็นการฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ การที่จะไม่ต้องเสียเงินจำนวนนั้น อันเป็นทรัพย์ที่พิพาท แม้คำของท้ายฟ้องโจทก์จะเบี่ยงบ่ายไปประการใด ก็หาทำให้ผลแห่งคำการปลดเปลื้องทุกข์เปลี่ยนแปลงไปได้ไม่ ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณา พิพากษาคดีนี้
ได้
ระยะเวลาตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30(2) ที่ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของอธิบดี หรือข้าหลวงประจำจังหวัดต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน ฯลฯ นั้น เป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉะนั้นเมื่อมีเหตุอันสมควร ศาลสั่งให้ขยายระยะเวลานั้นได้ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 23.
ได้
ระยะเวลาตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30(2) ที่ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของอธิบดี หรือข้าหลวงประจำจังหวัดต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน ฯลฯ นั้น เป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉะนั้นเมื่อมีเหตุอันสมควร ศาลสั่งให้ขยายระยะเวลานั้นได้ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 23.