พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 404/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จในคดีอาญาเพื่อช่วยเหลือจำเลย ทำให้ศาลยกฟ้อง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ข้อสำคัญในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 859/2511 คือ นายเทพหรือสุเทพได้ใช้ปืนยิงจำเลยกับพวกจริงหรือไม่ ฉะนั้นข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความว่าจำเลยได้ยินเสียงปืนดัง 10 นัด เข้าใจว่าเป็นเสียงปืนที่ยิงพวกจำเลยเพื่อแสดงว่าจำเลยไม่เห็นใครยิงปืนขึ้น10 นัด ทั้ง ๆ ที่ความจริงจำเลยเห็นนายเทพหรือสุเทพเป็นคนใช้ปืนกระหน่ำยิงมาทางจำเลยเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ปล่อยนายเทพหรือสุเทพไป จึงเป็นข้อสารสำคัญในคดี จำเลยต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีปลอมและใช้เอกสารปลอม ไม่ต้องระบุรายละเอียดทรัพย์สิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซึ่งมีหน้าที่เป็นพนักงานขายสินค้าของบริษัทจำกัดได้ทำปลอมสัญญาเช่าซื้อในนามบริษัทขึ้นทั้งฉบับ โดยกรอกข้อความลงในแบบฟอร์มของบริษัทและปลอมลายมือชื่อของบุคคลที่ระบุทั้งสี่คนขึ้นเป็นคู่สัญญากับบริษัท อันเป็นการเสียหายแก่บริษัทและคู่สัญญาที่จำเลยปลอมลายมือนั้น ต่อมาจำเลยได้ใช้สัญญาเช่าซื้อที่ปลอมนั้นมอบให้คนอื่นนำไปอ้าง เพื่อขอเบิกเงินล่วงหน้า อันจะเกิดความเสียหายแก่บริษัทและผู้จัดการบริษัท ดังนี้เป็นฟ้องที่ครบองค์ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม โดยได้บรรยายการกระทำผิดของจำเลย และมีรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาสถานที่กระทำผิดรวมทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) โดยไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สินอะไรมีราคาเท่าใด และไม่ต้องแนบสัญญาหรือสำเนามาพร้อมฟ้องอย่างคดีแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาโดยไม่ตรวจสอบสำนวนสอบสวนอย่างถูกต้อง ทำให้ศาลฎีกาไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุการกระทำผิดได้
ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนการสอบสวนโดยมิได้เรียกสำนวนสอบสวนมาจากโจทก์ แล้วรวมสำนวนไว้เพื่อประกอบการพิจารณาและโจทก์ก็มิได้ส่งสำนวนการสอบสวนต่อศาลหรือขออ้างส่งสำนวนในฐานะเป็นพยานเอกสารศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าสาเหตุแห่งการกระทำผิดเป็นความจริงถูกต้องดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่
ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรของพนักงานสอบสวนระบุว่าถูกคนร้ายใช้มีดแทง บาดแผลผู้เสียหายทั้งสองคนรวม 3 แผลลึกเพียงครึ่งเซนติเมตรทั้ง 3 แผล และรักษา 7 วันหาย จึงไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่อาจทำให้ถึงตายได้ จึงไม่ควรลงโทษจำคุกจำเลยเต็มตามอัตราโทษจำคุกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรของพนักงานสอบสวนระบุว่าถูกคนร้ายใช้มีดแทง บาดแผลผู้เสียหายทั้งสองคนรวม 3 แผลลึกเพียงครึ่งเซนติเมตรทั้ง 3 แผล และรักษา 7 วันหาย จึงไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่อาจทำให้ถึงตายได้ จึงไม่ควรลงโทษจำคุกจำเลยเต็มตามอัตราโทษจำคุกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาโดยอาศัยสำนวนสอบสวนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายส่งผลต่อการวินิจฉัยสาเหตุแห่งการกระทำผิด
ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนการสอบสวนโดยมิได้เรียกสำนวนสอบสวนมาจากโจทก์ แล้วรวมสำนวนไว้เพื่อประกอบการพิจารณาและโจทก์ก็มิได้ส่งสำนวนการสอบสวนต่อศาลหรือขออ้างส่งสำนวนในฐานะเป็นพยานเอกสารศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าสาเหตุแห่งการกระทำผิดเป็นความจริงถูกต้องดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่
ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรของพนักงานสอบสวนระบุว่าถูกคนร้ายใช้มีดแทง บาดแผลผู้เสียหายทั้งสองคนรวม 3 แผล ลึกเพียงครึ่งเซ็นติเมตรทั้ง 3 แผล และรักษา 7 วันหาย จึงไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่อาจทำให้ถึงตายได้ จึงไม่ควรลงโทษจำคุกจำเลยเต็มตามอัตราโทษจำคุกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรของพนักงานสอบสวนระบุว่าถูกคนร้ายใช้มีดแทง บาดแผลผู้เสียหายทั้งสองคนรวม 3 แผล ลึกเพียงครึ่งเซ็นติเมตรทั้ง 3 แผล และรักษา 7 วันหาย จึงไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่อาจทำให้ถึงตายได้ จึงไม่ควรลงโทษจำคุกจำเลยเต็มตามอัตราโทษจำคุกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 25/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดร่วมกัน, การลงโทษ, และการพิจารณาเหตุบรรเทาโทษในคดีอาญา
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นบทมาตราที่บัญญัติถึงการกระทำผิดร่วมกันของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ให้ถือว่าผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเท่านั้น ในการพิจารณาลงโทษจำเลยที่กระทำผิดร่วมกัน แม้ศาลจะมิได้ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ไว้ในคำพิพากษาเป็นบทประกอบมาตราที่ลงโทษจำเลย ก็จะถือว่าศาลมิได้ลงโทษจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีปลอมแปลงพินัยกรรม การถอนฟ้องจำเลย และการพิพากษาคดีอาญา
การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้น แล้วนำพินัยกรรมปลอมไปใช้ ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมฉบับที่แท้จริงได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ในชั้นแรก แม้จะได้ฟ้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยอื่นไว้ แต่โจทก์ได้ถอนฟ้องคนเหล่านี้ไปก่อนที่จะลงมือสืบพยานโจทก์ ขณะที่เบิกความเป็นพยานโจทก์ บุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันปลอมแปลงพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าพินัยกรรมฉบับแท้จริงไม่ได้กระทำโดยกรมการอำเภอ ตามกฎหมายพินัยกรรมนั้น จึงไม่ใช่เป็นเอกสารฝ่ายเมือง ก็เป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สารสำคัญ ศาลจะยกฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2 หาได้ไม่
ในชั้นแรก แม้จะได้ฟ้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยอื่นไว้ แต่โจทก์ได้ถอนฟ้องคนเหล่านี้ไปก่อนที่จะลงมือสืบพยานโจทก์ ขณะที่เบิกความเป็นพยานโจทก์ บุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันปลอมแปลงพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าพินัยกรรมฉบับแท้จริงไม่ได้กระทำโดยกรมการอำเภอ ตามกฎหมายพินัยกรรมนั้น จึงไม่ใช่เป็นเอกสารฝ่ายเมือง ก็เป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สารสำคัญ ศาลจะยกฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมแปลงพินัยกรรมและการฟ้องคดีอาญา ผู้เสียหายมีอำนาจฟ้อง แม้พินัยกรรมจะไม่ใช่เอกสารฝ่ายเมือง
การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นแล้วนำพินัยกรรมปลอมไปใช้ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมฉบับที่แท้จริงได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ในชั้นแรก แม้จะได้ฟ้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยอื่นไว้ แต่โจทก์ได้ถอนฟ้องคนเหล่านี้ไปก่อนที่จะลงมือสืบพยานโจทก์ ขณะที่เบิกความเป็นพยานโจทก์บุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันปลอมแปลงพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองแต่ทางพิจารณาปรากฏว่าพินัยกรรมฉบับแท้จริงไม่ได้กระทำโดยกรมการอำเภอตามกฎหมายพินัยกรรมนั้น จึงไม่ใช่เป็นเอกสารฝ่ายเมืองก็เป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สารสำคัญ ศาลจะยกฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง หาได้ไม่
ในชั้นแรก แม้จะได้ฟ้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยอื่นไว้ แต่โจทก์ได้ถอนฟ้องคนเหล่านี้ไปก่อนที่จะลงมือสืบพยานโจทก์ ขณะที่เบิกความเป็นพยานโจทก์บุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันปลอมแปลงพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองแต่ทางพิจารณาปรากฏว่าพินัยกรรมฉบับแท้จริงไม่ได้กระทำโดยกรมการอำเภอตามกฎหมายพินัยกรรมนั้น จึงไม่ใช่เป็นเอกสารฝ่ายเมืองก็เป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สารสำคัญ ศาลจะยกฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อิสระในการพิจารณาคดีอาญา และการใช้เอกสารเป็นพยานโดยไม่ต้องซักค้าน
ในคดีอาญา แม้จำเลยจะนำสืบถึงพยานเอกสารใดโดยมิได้นำพยานเอกสารนั้นไปซักค้านพยานโจทก์ให้อธิบายไว้เสียก่อนจำเลยก็ยังอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้
ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับว่าการพิจารณาคดีอาญาที่กล่าวหากันด้วยข้อเท็จจริงที่ได้เคยมีการวินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีเรื่องก่อนแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีหลังจะต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยไว้ในคดีก่อน
ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับว่าการพิจารณาคดีอาญาที่กล่าวหากันด้วยข้อเท็จจริงที่ได้เคยมีการวินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีเรื่องก่อนแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีหลังจะต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยไว้ในคดีก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อิสระในการพิจารณาคดีอาญา: ศาลไม่ผูกพันตามข้อเท็จจริงในคดีก่อน & การอ้างเอกสารพยาน
ในคดีอาญา แม้จำเลยจะนำสืบถึงพยานเอกสารใดโดยมิได้นำพยานเอกสารนั้นไปซักค้านพยานโจทก์ให้อธิบายไว้เสียก่อน จำเลยก็ยังอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้
ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับว่าการพิจารณาคดีอาญาที่กล่าวหากันด้วยข้อเท็จจริงที่ได้เคยมีการวินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีเรื่องก่อนแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีหลังจะต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยไว้ในคดีก่อน
ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับว่าการพิจารณาคดีอาญาที่กล่าวหากันด้วยข้อเท็จจริงที่ได้เคยมีการวินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีเรื่องก่อนแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีหลังจะต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยไว้ในคดีก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมที่ระงับคดีอาญาแผ่นดินขัดต่อความสงบเรียบร้อย ถือเป็นโมฆะ
บุตรจำเลยขับจักรยานยนต์ชนบุตรโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสโจทก์จำเลยจึงได้ทำสัญญาปรองดองกัน โดยฝ่ายจำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้น ฝ่ายโจทก์ไม่เอาความผิดในคดีอาญา ดังนี้ วัตถุประสงค์ของสัญญามีผลเท่ากับตกลงให้ระงับคดีอาญาแผ่นดินเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน สัญญาจึงตกเป็นโมฆะ