พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดและการตกลงยินยอมโดยสมัครใจไม่ถือเป็นการละเมิด
การที่ศาลชั้นต้นสั่งสืบพยานแล้วงดสืบพยานเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้คดีเสร็จไปโดยไม่ชักช้า
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้น แสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่งระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าใจไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้น แสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่งระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าใจไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดและการตกลงยินยอมโดยสมัครใจเป็นเหตุยกฟ้องคดีละเมิด
การที่ศาลชั้นต้นสั่งสืบพยานแล้วงดสืบพยานเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้คดีเสร็จไปโดยไม่ชักช้า
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้นแสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไมหทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่ง ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้นแสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไมหทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่ง ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดเจ้าหน้าที่รัฐจากความบกพร่องในการปฏิบัติตามระเบียบ
ระเบียบการเก็บรักษาเงินคงคลังฯนั้นหากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามก็มีแต่รับผิดทางวินัย แต่จะเป็นละเมิดหรือไม่แล้วแต่ขาดความระวังอันควรต้องใช้ในพฤติการณ์เช่นนั้นหรือไม่ เมื่อผู้บังคับบัญชาและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินปล่อยให้ทำผิดระเบียบตามที่เคยทำกันมา ความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ยังไม่ถึงขนาดเป็นประมาทเลินเล่อก็ไม่มีความรับผิดทางละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2581/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิดและการแบ่งแยกฐานความรับผิดระหว่างเจ้าหน้าที่ทุจริตและผู้กำกับดูแล
คดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตยักยอกถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผน เช่นนี้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งซึ่งผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ 4 กับพวกให้ชดใช้เงินดังกล่าวในคดีอาญาคืนฐานละเมิด ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา โดยจำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น" ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถื่อว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น" ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถื่อว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2581/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิดและการรับผิดของเจ้าหน้าที่ต่อการยักยอกเงิน, การพิจารณาความรับผิดตามหลักฐานในคดีอาญา
คดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตยักยอกถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผน เช่นนี้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งซึ่งผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ 4 กับพวกให้ชดใช้เงินดังกล่าวในคดีอาญาคืนฐานละเมิด ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา โดยจำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น"ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้ มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น"ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้ มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐาน (เอกสาร) และการประเมินความรับผิดทางละเมิดจากการเดินรถทับเส้นทางสัมปทาน
จำเลยส่งเอกสารต่อศาลโดยไม่ส่งสำเนาให้โจทก์ ครั้นโจทก์คัดค้านว่าไม่ควรรับฟัง จำเลยแถลงว่าต้นฉบับอยู่ในความครอบครองของทางราชการ จะได้หมายเรียกต้นฉบับมา แต่แล้วจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลหมายเรียกมา เมื่อเอกสารที่จำเลยส่งศาลเป็นสำเนาซึ่งไม่มีเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจรับรองว่าถูกต้องกับต้นฉบับ จึงรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93
จำเลยเดินรถรับส่งคนโดยสารเที่ยกลับช่วงหนึ่งทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์เฉพาะทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 12 ถึง 19 น. ทั้งนี้ เนื่องจากตามวันเวลานั้นเจ้าพนักงานจราจรได้ออกประกาศให้รถเดินทางเดียวในถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ในเส้นทางสัมปทานของจำเลยเมื่อได้ความว่าในกรณีเช่นนี้ไม่มีข้อบังคับให้จำเลยต้องรายงานต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อประกาศเปลี่ยนเส้นทางให้ถูกต้องเสมอไป โดยหากไม่มีการโต้แย้งกันก็ไม่ต้องรายงาน และจำเลยก็ได้เดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์เพียง 1 กิโลเมตรเศษ ทั้งปรากฏว่าโจทก์เองเปลี่ยนไปเดินรถทับเส้นทางเดินรถของผู้อื่น โดยโจทก์ไม่ได้แจ้งให้กรมการขนส่งทางบกทราบเช่นกัน การเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเอาเองในกรณีนี้จึงเป็นเรื่องอะลุ้มอล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จำเลยมิได้เจตนาจงใจเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์โดยพลการโจทก์เองก็เพิ่งร้องเรียนต่อกรมการขนส่งทางบกหลังจากจำเลยเดินรถทับเส้นทาง 3 ปีเศษแล้ว ดังนี้ จะถือว่าจำเลยเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกหาได้ไม่ แต่เมื่อกรมการขนส่งทางบกได้สั่งให้จำเลยเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่ไม่ให้ทับเส้นทางของโจทก์ตามที่โจทก์ร้องเรียนแล้ว จำเลยยังเดินรถตามเส้นทางเดิมต่อไปอีก แม้เพราะจำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อปลัดกระทรวงคมนาคมอยู่ก็ตาม แต่เมื่อต่อมาปลัดกระทรวงคมนาคมได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกแล้ว การกระทำของจำเลยขนส่งทางบก จนถึงวันสุดท้ายที่จำเลยเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ ตามจำนวนวันเสาร์ในระยะนั้น
จำเลยเดินรถรับส่งคนโดยสารเที่ยกลับช่วงหนึ่งทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์เฉพาะทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 12 ถึง 19 น. ทั้งนี้ เนื่องจากตามวันเวลานั้นเจ้าพนักงานจราจรได้ออกประกาศให้รถเดินทางเดียวในถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ในเส้นทางสัมปทานของจำเลยเมื่อได้ความว่าในกรณีเช่นนี้ไม่มีข้อบังคับให้จำเลยต้องรายงานต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อประกาศเปลี่ยนเส้นทางให้ถูกต้องเสมอไป โดยหากไม่มีการโต้แย้งกันก็ไม่ต้องรายงาน และจำเลยก็ได้เดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์เพียง 1 กิโลเมตรเศษ ทั้งปรากฏว่าโจทก์เองเปลี่ยนไปเดินรถทับเส้นทางเดินรถของผู้อื่น โดยโจทก์ไม่ได้แจ้งให้กรมการขนส่งทางบกทราบเช่นกัน การเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเอาเองในกรณีนี้จึงเป็นเรื่องอะลุ้มอล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จำเลยมิได้เจตนาจงใจเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์โดยพลการโจทก์เองก็เพิ่งร้องเรียนต่อกรมการขนส่งทางบกหลังจากจำเลยเดินรถทับเส้นทาง 3 ปีเศษแล้ว ดังนี้ จะถือว่าจำเลยเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกหาได้ไม่ แต่เมื่อกรมการขนส่งทางบกได้สั่งให้จำเลยเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่ไม่ให้ทับเส้นทางของโจทก์ตามที่โจทก์ร้องเรียนแล้ว จำเลยยังเดินรถตามเส้นทางเดิมต่อไปอีก แม้เพราะจำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อปลัดกระทรวงคมนาคมอยู่ก็ตาม แต่เมื่อต่อมาปลัดกระทรวงคมนาคมได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกแล้ว การกระทำของจำเลยขนส่งทางบก จนถึงวันสุดท้ายที่จำเลยเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ ตามจำนวนวันเสาร์ในระยะนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐาน (สำเนาเอกสาร) และการละเมิดจากการเดินรถทับเส้นทางสัมปทาน กรณีอะลุ้มอะล่วยและคำสั่งทางปกครอง
จำเลยส่งเอกสารต่อศาลโดยไม่ส่งสำเนาให้โจทก์ ครั้นโจทก์คัดค้านว่าไม่ควรรับฟัง จำเลยแถลงว่าต้นฉบับอยู่ในความครอบครองของทางราชการจะได้หมายเรียกต้นฉบับมาแต่แล้วจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลหมายเรียกมาเมื่อเอกสารที่จำเลยส่งศาลเป็นสำเนา ซึ่งไม่มีเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจรับรองว่าถูกต้องกับต้นฉบับ จึงรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93
จำเลยเดินรถรับส่งคนโดยสารเที่ยวกลับช่วงหนึ่งทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ เฉพาะทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 12 ถึง 19 น. ทั้งนี้ เนื่องจากตามวันเวลานั้นเจ้าพนักงานจราจรได้ออกประกาศให้รถเดินทางเดียวในถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ในเส้นทางสัมปทานของจำเลยเมื่อได้ความว่าในกรณีเช่นนี้ไม่มีข้อบังคับให้จำเลยต้องรายงานต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อประกาศเปลี่ยนเส้นทางให้ถูกต้องเสมอไป โดยหากไม่มีการโต้แย้งกันก็ไม่ต้องรายงานและจำเลยก็ได้เดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์เพียง 1 กิโลเมตรเศษทั้งปรากฏว่าโจทก์เองก็ต้องเปลี่ยนไปเดินรถทับเส้นทางเดินรถของผู้อื่นโดยโจทก์ไม่ได้แจ้งให้กรมการขนส่งทางบกทราบเช่นกันการเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเอาเองในกรณีนี้จึงเป็นเรื่องอะลุ้มอะล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จำเลยมิได้เจตนาจงใจเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์โดยพลการโจทก์เองก็เพิ่งร้องเรียนต่อกรมการขนส่งทางบกหลังจากจำเลยเดินรถทับเส้นทาง 3 ปีเศษแล้ว ดังนี้ จะถือว่าจำเลยเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกหาได้ไม่ แต่เมื่อกรมการขนส่งทางบกได้สั่งให้จำเลยเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่ไม่ให้ทับเส้นทางของโจทก์ตามที่โจทก์ร้องเรียนแล้วจำเลยยังเดินรถตามเส้นทางเดิมต่อไปอีก แม้เพราะจำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อปลัดกระทรวงคมนาคมอยู่ก็ตามแต่เมื่อต่อมาปลัดกระทรวงคมนาคมได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นละเมิดต่อโจทก์ ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจากวันจำเลยได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของกรมการขนส่งทางบก จนถึงวันสุดท้ายที่จำเลยเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ ตามจำนวนวันเสาร์ในระยะนั้น
จำเลยเดินรถรับส่งคนโดยสารเที่ยวกลับช่วงหนึ่งทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ เฉพาะทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 12 ถึง 19 น. ทั้งนี้ เนื่องจากตามวันเวลานั้นเจ้าพนักงานจราจรได้ออกประกาศให้รถเดินทางเดียวในถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ในเส้นทางสัมปทานของจำเลยเมื่อได้ความว่าในกรณีเช่นนี้ไม่มีข้อบังคับให้จำเลยต้องรายงานต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อประกาศเปลี่ยนเส้นทางให้ถูกต้องเสมอไป โดยหากไม่มีการโต้แย้งกันก็ไม่ต้องรายงานและจำเลยก็ได้เดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์เพียง 1 กิโลเมตรเศษทั้งปรากฏว่าโจทก์เองก็ต้องเปลี่ยนไปเดินรถทับเส้นทางเดินรถของผู้อื่นโดยโจทก์ไม่ได้แจ้งให้กรมการขนส่งทางบกทราบเช่นกันการเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเอาเองในกรณีนี้จึงเป็นเรื่องอะลุ้มอะล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จำเลยมิได้เจตนาจงใจเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์โดยพลการโจทก์เองก็เพิ่งร้องเรียนต่อกรมการขนส่งทางบกหลังจากจำเลยเดินรถทับเส้นทาง 3 ปีเศษแล้ว ดังนี้ จะถือว่าจำเลยเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกหาได้ไม่ แต่เมื่อกรมการขนส่งทางบกได้สั่งให้จำเลยเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่ไม่ให้ทับเส้นทางของโจทก์ตามที่โจทก์ร้องเรียนแล้วจำเลยยังเดินรถตามเส้นทางเดิมต่อไปอีก แม้เพราะจำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อปลัดกระทรวงคมนาคมอยู่ก็ตามแต่เมื่อต่อมาปลัดกระทรวงคมนาคมได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นละเมิดต่อโจทก์ ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจากวันจำเลยได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของกรมการขนส่งทางบก จนถึงวันสุดท้ายที่จำเลยเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ ตามจำนวนวันเสาร์ในระยะนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2432/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแข่งขันขนส่งประจำทาง: การกระทำที่เป็นการละเมิดต่อผู้ได้รับอนุญาต
จำเลยเดินรถรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาต โดยมีกำหนดเวลาออกรถและสถานที่จอดรถที่แน่นอนประจำทุกวัน เมื่อรถจำเลยถึงปลายทางผู้โดยสารต่างคนต่างแยกย้ายกันไป รถจำเลยไม่ได้พาผู้โดยสารไปทัศนาจรที่ใดเลย และการจำหน่ายตั๋วโดยสารก็จำหน่ายเป็นรายบุคคล ในอัตราค่าโดยสารที่เป็นปกติธรรมดามิใช่เพื่อการทัศนาจรดังนี้ ย่อมถือได้ว่าจำเลยเดินรถในลักษณะที่เป็นการแข่งขันกับโจทก์ผู้มีสิทธิทำการขนส่งเดินรถประจำทางในเส้นทางสายที่โจทก์ได้รับอนุญาต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2423/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดจากไฟไหม้ ต้องระบุรายละเอียดการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของผู้ถูกฟ้อง
บรรยายฟ้องว่าจำเลยเก็บถังแก๊สไว้จำหน่ายไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีเครื่องป้องกัน เมื่อเกิดไฟไหม้จึงลุกลามไปไหม้บ้านโจทก์โดยรวดเร็ว โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยใช้ลวดทองแดงต่อฟิวส์ทำให้ความร้อนสูงเกิดไฟไหม้ จึงไม่เป็นประเด็นที่จะพิจารณาในข้อนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2334-2336/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การประเมินความผิดของผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่าย
โจทก์ขับรถยนต์ออกจากทางแยกที่มีป้ายหยุด แต่โจทก์ไม่หยุดจำเลยขับรถยนต์ผ่านทางแยกโดยความเร็วสูงเกินกำหนด จึงหยุดไม่ทันเป็นความผิดของโจทก์จำเลยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ศาลให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ผู้ขับรถ กับผู้ที่นั่งมาในรถ กับเจ้าของรถที่โจทก์ขับครึ่งหนึ่ง