พบผลลัพธ์ทั้งหมด 344 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6042/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก และการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อประเด็นการตั้งผู้จัดการมรดกรายใหม่
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านขอให้ศาลยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ ค.ผู้ตาย ผู้คัดค้านที่ 2 ก็ยื่นคำคัดค้านเช่นเดียวกันโดยขอให้ศาลยกคำร้องของผู้ร้องและขอให้ศาลตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายในวันนัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้องยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ค้าน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องถอนคำร้องขอ ให้จำหน่ายคดีเฉพาะผู้ร้องกับให้ผู้คัดค้านที่ 2 นำพยานเข้าไต่สวนทันทีซึ่งกรณีเช่นนี้ ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับให้ศาลต้องเลื่อนกระบวนพิจารณาไปโดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอ ศาลชอบที่ดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามประเด็นที่ปรากฏในคำคู่ความ ประเด็นในคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 มีแต่เพียงว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้หรือไม่เมื่อผู้ร้องขอถอนคำร้องและศาลชั้นต้นอนุญาตแล้วคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ร้องขอเลื่อนการพิจารณาไปเพื่อดำเนินการอย่างใดศาลย่อมต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามกระบวนพิจารณาที่กำหนดไว้ได้ เมื่อผู้ร้องขอถอนคำร้องของผู้ร้องไปแล้ว ประเด็นตามคำร้องของผู้ร้องย่อมหมดไป คำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 ที่คัดค้านคำร้องของผู้ร้องจึงตกไปด้วยส่วนคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 2นอกจากให้ยกคำร้องผู้ร้องแล้วยังได้ร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ด้วย ดังนั้น ประเด็นเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้คัดค้านที่ 2 ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย คำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 2 จึงหาตกไปไม่ ศาลต้องดำเนินกระบวน พิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4787/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้สัตยาบันต่อกระบวนพิจารณาหลังศาลสั่งแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องหนังสือมอบอำนาจ
แม้ขณะยื่นคำให้การ จำเลยมิได้ยื่นใบมอบอำนาจให้ดำเนินคดีของตัวการต่อศาลก็ตาม แต่ต่อมาในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปรากฏว่า ศาลได้ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 66 สั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวและจำเลยก็ได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจของตัวการให้จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนดำเนินคดีได้ตามคำสั่งของศาลแล้ว ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้แก้ไขได้ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เมื่อได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจเช่นนั้นแล้ว เท่ากับเป็นการให้สัตยาบันแก่กระบวนพิจารณาที่ได้ทำไปแล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งหมดของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4201/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีก่อนชำระค่าธรรมเนียมศาลเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบ
การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนกระทั่งสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง โดยที่โจทก์ยังมิได้ชำระค่าธรรมเนียมศาลนั้น เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและไม่มีผลผูกพันคู่ความ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งจำหน่ายคดี หาใช่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ ตามทุนทรัพย์ที่ฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งจำหน่ายคดี หาใช่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ ตามทุนทรัพย์ที่ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3915/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนอุทธรณ์ในคดีแพ่ง: ศาลมีอำนาจอนุญาตได้ตามหลักอนุโลมจากบทบัญญัติในศาลชั้นต้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิได้บัญญัติในเรื่องถอนอุทธรณ์ไว้โดยเฉพาะแต่ตามมาตรา 246 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์โดยอนุโลม เมื่อคำฟ้องอุทธรณ์เป็นคำฟ้องอย่างหนึ่งตามมาตรา 1 (3) ดังนั้น ในการถอนคำฟ้องอุทธรณ์จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการถอนฟ้องตามมาตรา175 มาบังคับใช้โดยอนุโลม โดยศาลอุทธรณ์จะต้องฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดถ้าหากมีก่อน แม้จำเลยจะคัดค้านก็อยู่ในดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งอนุญาตได้ และการขอถอนคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3915/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนอุทธรณ์: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาและสั่งอนุญาตได้ตามหลักการอนุโลมมาตรา 246 และ 175 ป.วิ.พ.
ป.วิ.พ. มิได้บัญญัติในเรื่องถอนอุทธรณ์ไว้โดยเฉพาะ แต่ตามมาตรา 246 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์โดยอนุโลม เมื่อคำฟ้องอุทธรณ์เป็นคำฟ้องอย่างหนึ่งตามมาตรา 1(3) ดังนั้น ในการถอนคำฟ้องอุทธรณ์จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยการถอนฟ้องตามมาตรา 175 มาบังคับใช้โดยอนุโลมโดยศาลอุทธรณ์จะต้องฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดถ้าหากมีก่อน แม้จำเลยจะคัดค้านก็อยู่ในดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งอนุญาตได้ และการขอถอนคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริต.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย ถือเป็นกระบวนพิจารณาโจทก์ต้องชำระ
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลย ต่อมาจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วตามข้อตกลงนอกศาล ศาลจึงมีคำสั่งเพิกถอนการบังคับคดี ดังนี้ ไม่ใช่เป็นการเพิกถอนการบังคับคดีเพราะจำเลยได้วางเงินอย่างหนึ่งอย่างใดต่อศาลหรือพนักงานบังคับคดีตามป.วิ.พ. มาตรา 295(1) แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ จึงถือว่าโจทก์ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นที่ระบุไว้ในตารางท้าย ป.วิ.พ. ตามมาตรา 149 เมื่อไม่มีการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินที่ยึดไว้ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดตามที่กำหนดไว้ในตาราง 5 ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ. และกรณีนี้ไม่ต้องด้วยมาตรา 295 ตรีเพราะไม่ใช่บทบัญญัติว่าด้วยการกำหนดให้ฝ่ายใดรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย ถือเป็นกระบวนพิจารณาที่โจทก์ต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียม
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยต่อมาจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วตามข้อตกลงนอกศาลศาลจึงมีคำสั่งเพิกถอนการบังคับคดีดังนี้ไม่ใช่เป็นการเพิกถอนการบังคับคดีเพราะจำเลยได้วางเงินอย่างหนึ่งอย่างใดต่อศาลหรือพนักงานบังคับคดีตามป.วิ.พ.มาตรา295(1)แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์จึงถือว่าโจทก์ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นที่ระบุไว้ในตารางท้ายป.วิ.พ.ตามมาตรา149เมื่อไม่มีการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินที่ยึดไว้โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ3ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดตามที่กำหนดไว้ในตาราง5ข้อ3ท้ายป.วิ.พ.และกรณีนี้ไม่ต้องด้วยมาตรา295ตรีเพราะไม่ใช่บทบัญญัติว่าด้วยการกำหนดให้ฝ่ายใดรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมหลังหมดพยานฝ่ายจำเลย และการพิสูจน์ลายมือชื่อเพื่อยืนยันการเป็นผู้สลักหลังเช็ค
โจทก์นำสืบพยานก่อน และเมื่อสืบเสร็จแล้วก็แถลงหมดพยาน จำเลยที่ 2 นำสืบพยานโดยขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สลักหลังเช็คพิพาทด้วย ซึ่งกรณีขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนี้ เป็นเรื่องการนำสืบพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์จะขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งหลังจากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้นแล้วไม่ได้ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ช่วยหาตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 เพื่อส่งไปเปรียบเทียบในการตรวจพิสูจน์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวได้ดำเนินการโดยครบถ้วนจนทราบผลการตรวจพิสูจน์แล้ว จึงย่อมมีอำนาจไม่อนุญาตให้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนั้นซ้ำใหม่ตามที่โจทก์ขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมหลังจำเลยสืบพยานแล้วถือเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา หากศาลเห็นว่าการสืบพยานเดิมครบถ้วน
โจทก์นำสืบพยานก่อน เสร็จแล้วแถลงหมดพยาน จำเลยที่ 2 นำสืบพยานและขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจลายมือชื่อผู้สลักหลังเช็คพิพาท ซึ่งเป็นเรื่องการนำสืบพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์จะขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวอีก หลังจากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้นแล้วไม่ได้ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ช่วยหาตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 เพื่อส่งไปเปรียบเทียบในการตรวจพิสูจน์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวได้ดำเนินการโดยครบถ้วนจนทราบผลการตรวจพิสูจน์แล้ว จึงย่อมมีอำนาจไม่อนุญาตให้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนั้นซ้ำใหม่ตามที่โจทก์ขอได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานซ้ำในคดีแพ่ง: ศาลมีอำนาจจำกัดการนำสืบพยานหลังจำเลยสืบแล้ว
โจทก์นำสืบพยานก่อน และเมื่อสืบเสร็จแล้วก็แถลงหมดพยานจำเลยที่ 2 นำสืบพยานโดยขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สลักหลังเช็คพิพาทด้วย ซึ่งกรณีขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนี้ เป็นเรื่องการนำสืบพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์จะขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งหลังจากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้นแล้วไม่ได้ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาแม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ช่วยหาตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ 2เพื่อส่งไปเปรียบเทียบในการตรวจพิสูจน์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อดังกล่าวได้ดำเนินการโดยครบถ้วนจนทราบผลการตรวจพิสูจน์แล้ว จึงย่อมมีอำนาจไม่อนุญาตให้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อนั้นซ้ำใหม่ตามที่โจทก์ขอได้.