พบผลลัพธ์ทั้งหมด 502 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2272/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ: ผู้ขับรถที่แซงขึ้นจากไหล่ทางด้วยความเร็วสูงเป็นฝ่ายประมาทแต่เพียงผู้เดียว
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารแล่นตามกันไปในขบวนซึ่งมีรถวิทยุตำรวจทางหลวงเปิดไฟสัญญาวับวาบแล่นนำหน้า เชื่อได้ว่ารถที่จำเลยที่ 1 ขับนั้นแล่นด้วยความเร็วตามอัตราที่กฎหมายกำหนดและอยู่ในช่องทางเดินรถที่ถูกต้อง จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแซงขบวนรถไปอยู่ที่ไหล่ถนนด้านซ้าย แล้วขับขึ้นจากไหล่ถนนโดยกระชั้นชิด และด้วยความเร็วสูง โดยไม่ระมัดระวัง เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อาจคาดหมายหรือให้สัญญาณเพื่อให้ใช้ความระมัดระวังอย่างใดได้ทัน เหตุชนกันจึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ถือว่าเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 แต่เพียงฝ่ายเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2272/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ: ผู้ขับแซงขึ้นจากไหล่ทางด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับรถในขบวนไม่ต้องรับผิด
การที่จำเลยที่ 1 ขับรถแล่นไปในขบวนด้วยความเร็วตามปกติและในช่องทางเดินรถที่ถูกต้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ขับรถขึ้นจากไหล่ถนนโดยกระชั้นชิดและด้วยความเร็วสูงโดยไม่ระมัดระวังเช่นนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อาจคาดหมายหรือให้สัญญาณเพื่อให้ใช้ความระมัดระวังอย่างใดได้ทัน เหตุชนกันจึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ถือว่าเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2แต่เพียงฝ่ายเดียว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2272/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ: ผู้ขับรถที่แซงขึ้นจากไหล่ทางด้วยความเร็วสูงเป็นฝ่ายประมาทแต่เพียงผู้เดียว
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารแล่นตามกันไปในขบวนซึ่งมีรถวิทยุตำรวจทางหลวงเปิดไฟสัญญาวับวาบ แล่นนำหน้า เชื่อได้ว่ารถที่จำเลยที่ 1 ขับนั้นแล่นด้วยความเร็วตามอัตราที่กฎหมายกำหนดและอยู่ในช่อง ทางเดินรถที่ถูกต้อง จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแซง ขบวนรถไปอยู่ที่ไหล่ถนนด้านซ้าย แล้วขับขึ้นจากไหล่ถนนโดย กระชั้นชิด และด้วยความเร็วสูง โดยไม่ระมัดระวังเช่นนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อาจคาดหมายหรือให้สัญญาณเพื่อให้ใช้ความระมัดระวังอย่างใดได้ทัน เหตุชนกันจึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ถือว่าเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2แต่เพียงฝ่ายเดียว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2047/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน: ความประมาทในการขับรถ vs. ละเลยไม่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
รถยนต์ชนกันเป็นเหตุให้มีคนตายและได้รับอันตรายสาหัสเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย การที่จำเลยได้หลบหนีไปทันทีหลังเกิดเหตุโดยไม่ให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีนั้น เป็นการกระทำหลังจากเกิดเหตุรถยนต์ชนกันแล้ว เป็นกรณีกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1849/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างเนื่องจากความพิการจากการรักษาพยาบาลที่เกิดจากความประมาทของแพทย์ และขอบเขตความรับผิดของนายจ้าง
คำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางที่วินิจฉัยว่าคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 2ทำละเมิดตาม ทางการที่จ้างต่อ โจทก์นั้น มิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างลูกจ้างอันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลแรงงานกลาง ดังนี้ คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 9 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1299/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าพนักงานจากการมอบหมายให้ผู้อื่นดูแลของกลาง และความประมาทเลินเล่อของผู้รับซื้อ
จำเลยที่ 1 ยึดรถยนต์ ของโจทก์ซึ่ง ได้ ให้ ท. เช่าซื้อ ไปแล้วถูก บ. กับพวกนำไปใช้ กระทำความผิดไว้เป็นของกลาง เพื่อจะทำการสอบสวนดำเนิน คดีระหว่างสอบสวน ท. กับพวกอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ ขอคืน จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์ ให้ ท. ไปโดย มีประกันต่อมา ท. ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ พิพาทให้โจทก์โจทก์บอกเลิกสัญญา และติดตาม ยึดรถยนต์ คันดังกล่าวคืน นำไปขายต่อให้แก่ผู้อื่น ต่อมาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ริบรถยนต์ พิพาทจำเลยที่ 1 ยึดเอารถยนต์ พิพาทนั้นมาเป็นเหตุให้โจทก์ถูกห้างหุ้นส่วนจำกัด บญ. ผู้ซื้อรถยนต์ ฟ้อง โจทก์และโจทก์ต้อง ชำระค่าเสียหายให้เพราะเหตุรอนสิทธิ เช่นนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1ยังห่างไกลต่อ ผลที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1ไม่อาจคาดหมายล่วงหน้าได้ ว่า ท. จะนำรถยนต์ ดังกล่าวไปใช้ไม่เก็บรักษาไว้แล้ว โจทก์จะพบและยึดคืนนำไปขายต่อ ให้แก่ผู้อื่นเนื่องจาก ท. ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ทำให้ผู้ซื้อได้ รับความเสียหาย และผู้ซื้อนั้นจะฟ้องโจทก์ให้รับผิด ยังถือ ไม่ ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อ โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฎีกาจำกัดเฉพาะประเด็นค่าเสียหาย และข้อจำกัดในการอุทธรณ์เรื่องความประมาท
โจทก์ที่ 1 ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดและเรียกค่าเสียหาย 41,283 บาททุนทรัพย์สำหรับโจทก์ที่ 1 ไม่เกินห้าหมื่นบาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำละเมิดให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย 1,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย 14,250บาท ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายมาดังกล่าวสูงเกินไป เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถประมาทเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถประมาท แต่จำเลยที่ 3 มิได้อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1มิได้ขับรถประมาท จึงไม่มีประเด็นข้อนี้ในชั้นศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถประมาทเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถประมาท แต่จำเลยที่ 3 มิได้อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1มิได้ขับรถประมาท จึงไม่มีประเด็นข้อนี้ในชั้นศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถฝ่าไฟแดงเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
จำเลยที่ 2 ขับรถมาตามถนนพหลโยธินจากสามแยกเกษตรมุ่งหน้าไปทางลาดพร้าว เมื่อถึงสี่แยกพหลโยธินตัดกับถนนรัชดาภิเษก สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง จำเลยที่ 2 ได้ขับรถเคลื่อนอย่างช้า ๆ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดงเข้าไปในสี่แยกจนเลยเส้นสีขาวที่กำหนดให้รถหยุดประมาณ 10 เมตรเกือบถึงกลางสี่แยก รถจำเลยที่ 2 จึงขวางทางรถจำเลยที่ 1 ซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วจากถนนรัชดาภิเษกด้านถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งหน้าไปตามถนนรัชดาภิเษกเข้าไปในสี่แยก รถจำเลยที่ 1 ห้ามล้อและหักหลบเฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 แล้วเสียหลักไปทางขวาไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรในถนนรัชดาภิเษกด้านที่มาจากลาดพร้าว และชนผู้เสียหาย พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุโดยตรงทำให้รถจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 และชนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถฝ่าไฟแดงทำให้เกิดอุบัติเหตุและเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
จำเลยที่ 2 ขับรถมาตามถนนพหลโยธินจากสามแยกเกษตรมุ่งหน้าไปทางลาดพร้าว เมื่อถึงสี่แยกพหลโยธินตัดกับถนนรัชดาภิเษก สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง จำเลยที่ 2 ได้ขับรถเคลื่อนอย่างช้า ๆ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดงเข้าไปในสี่แยกจนเลยเส้นสีขาวที่กำหนดให้รถหยุดประมาณ 10 เมตรเกือบถึงกลางสี่แยก รถจำเลยที่ 2 จึงขวางทางรถจำเลยที่ 1 ซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วจากถนนรัชดาภิเษก ด้านถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งหน้าไปตามถนนรัชดาภิเษก เข้าไปในสี่แยก รถจำเลยที่ 1 ห้ามล้อและหักหลบเฉี่ยว ชนรถจำเลยที่ 2 แล้วเสียหลักไปทางขวาไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรในถนนรัชดาภิเษก ด้านที่มาจากลาดพร้าว และชนผู้เสียหาย พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุโดยตรงทำให้รถจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 และชนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถทำให้เกิดอุบัติเหตุและมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
จำเลยที่ 2 ขับรถมาตามถนนพหลโยธินจากสามแยกเกษตร มุ่งหน้าไปทางลาดพร้าว เมื่อถึงสี่แยกพหลโยธินตัดกับถนนรัชดาภิเษกสัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง จำเลยที่ 2 ได้ขับรถเคลื่อนอย่างช้า ๆฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดงเข้าไปในสี่แยกจนเลยเส้นสีขาวที่กำหนดให้รถหยุดประมาณ 10 เมตรเกือบถึงกลางสี่แยก รถจำเลยที่ 2 จึงขวางทางรถจำเลยที่ 1 ซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วจากถนนรัชดาภิเษกด้านถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งหน้าไปตามถนนรัชดาภิเษกเข้าไปในสี่แยกรถจำเลยที่ 1 ห้ามล้อและหักกลบเฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 แล้วเสียหลักไปทางขวาไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรในถนนรัชดาภิเษกด้านที่มาจากลาดพร้าวและชนผู้เสียหาย พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุโดยตรงทำให้รถจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 และชนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300,390 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 21,22,43,152,157