พบผลลัพธ์ทั้งหมด 189 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าหลังคู่สัญญาเดิมเสียชีวิต: การสืบสัญญาสิทธิเช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
เมื่อผู้เช่าตายบุคคลภายนอกจะเข้ามาเป็นคู่สัญญาสืบแทนคู่สัญญาต่อไป โดยได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ได้ ต่อแต่เมื่อได้มีฐานะ และได้ปฏิบัติตามที่ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉะบับที่ 3) 2489 มาตรา 17 บัญญัติไว้ กล่าวคือ (1) เป็นบุคคลในครอบครัวของผู้เช่า (2) ได้อาศัยอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าขณะที่ผู้เช่าตาย และ (3) ได้แจ้งความจำนงเป็นหนังสือไปยังผู้ให้เช่าภายใน 30 วัน นับแต่วันผู้เช่าตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1099-1147/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาว่าการเช่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือไม่ ต้องดูเจตนาคู่สัญญาและเหตุแวดล้อมประกอบ
ตามบทวิเคราะห์ศัพท์ "เคหะ" ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2) 2490 มาตรา 3 ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า กฎหมายประสงค์จะคุ้มครองการเช่าอันใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นหลัก กล่าวคือเมื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงว่าจะใช้เป็นที่ประกอบธุระกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรม ด้วยเป็นส่วนประธาน หรืออุปกรณ์ และในทางกลับกัน จะเห็นได้ว่า กฎหมายมิได้มุ่งคุ้มครองการเช่าเพื่อประกอบธุรกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรม โดยคู่สัญญามิได้มีเจตนาใช้เป็นที่อยู่อาศัย เพราะฉะนั้น ในการที่จะพิจารณาว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างใดจะเข้าอยู่ในบังคับแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ดังกล่าวแล้วหรือไม่ จะถือเอาการปฏิบัติของผู้เช่าฝ่ายเดียวเป็นข้อวินิจฉัยหาพอไม่ และตามถ้อยคำแห่งบทวิเคราะห์ศัพท์ "เคหะ" ก็มิได้บัญญัติคำว่า "ผู้เช่า" ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ฉะนั้นการที่จะดูแต่เพียงว่า ผู้เช่าอาศัยอยู่ในเคหะนั้นหรือไม่แต่อย่างเดียวยังไม่พอกับความประสงค์ของกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาที่ทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุแวดล้อมอื่น ๆ เช่น สภาพของสิ่งปลูกสร้าง อัตราค่าเช่า ทำเลที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง และการปฏิบัติของคูสัญญาแต่ละฝ่าย เหล่านี้รวมกันว่า การที่เช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่
การที่ผู้เช่าอยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่านั้น หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานว่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสมอไปไม่ เพราะจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่นั้นอยู่ในฐานะอย่างใด กล่าวคือ อยู่ในฐานะ "อยู่อาศัย" หรือเพียงแต่อยู่ในฐานะที่เข้าไปประกอบธุระกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรมในสิ่งปลูกสร้างที่เช่ามา เช่นการเช่าโรงเลื่อยโรงสีเพื่อประกอบการอุตสาหกรรม โดยผู้เช่าเข้าไปอยู่ในโรงเลื่อยหรือโรงสีนั้น เพื่อควบคุมดำเนินกิจการเช่นนี้ ฟังว่าเป็นการเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยย่อมไม่ได้
การที่ผู้เช่าอยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่านั้น หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานว่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสมอไปไม่ เพราะจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่นั้นอยู่ในฐานะอย่างใด กล่าวคือ อยู่ในฐานะ "อยู่อาศัย" หรือเพียงแต่อยู่ในฐานะที่เข้าไปประกอบธุระกิจ การค้า หรืออุตสาหกรรมในสิ่งปลูกสร้างที่เช่ามา เช่นการเช่าโรงเลื่อยโรงสีเพื่อประกอบการอุตสาหกรรม โดยผู้เช่าเข้าไปอยู่ในโรงเลื่อยหรือโรงสีนั้น เพื่อควบคุมดำเนินกิจการเช่นนี้ ฟังว่าเป็นการเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยย่อมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 366/2485
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภริยาไม่มีสิทธิอ้างไม่เป็นคู่สัญญาเพื่อต่อสู้กรรมสิทธิ์ในการฟ้องขับไล่
ภริยานับเป็นบริวารของสามี ฉะนั้นในการที่ฟ้องขับไล่จะอ้างว่าไม่ได้เป็นคู่สัญญากับเจ้าของที่ดินเพื่อต่อสู้กรรมสิทธิ์ไม่ได้ กฎหมายปิดปาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2484
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิในสัญญาเช่าซื้อต้องแจ้งให้คู่สัญญาเดิมทราบหรือได้รับยินยอม หากไม่แจ้ง ฟ้องผิดคู่สัญญา ศาลต้องยกฟ้อง
ในฟ้องระบุว่าจำเลยทำสัญญาโจทก์ แต่ในหนังสือสัญญาปรากฏว่าจำเลยทำสัญญากับผู้อื่นดังนี้ ต้องยกฟ้อง ศาลจะรับฟังการบอกกล่าวการโอนหนี้ที่โจทก์นำสืบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2478
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ-การเป็นคู่สัญญา-ตัวแทน-กฎหมายที่ใช้บังคับ
สัญญาซื้อขายข้าวเป็นเงินเกินกว่าห้าร้อยบาท ถ้ามิได้วางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนแล้ว ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ในกรณีเช่นนี้การตั้งตัวแทนไปทำสัญญาก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย ยอมให้บุคคลเชิดเป็นตัวแทนของตนในต่างประเทศตนต้องรับผิดในฐานตัวการเสมอกับผู้นั้นเป็นตัวแทนของตน เป็นหนี้กันเป็นเงินต่างประเทศ ศาลบังคับให้ใช้เป็นจำนวนเงินต่างประเทศนั้น ศาลยอมให้ดอกเบี้ยในระวางผิดสัญญาร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี โปรโตดลระวางประเทศว่าด้วยการมอบข้อพิพาทให้อนุญาตโตตุลาการชี้ขาดเมืองเยเนวา ลงวันที่ 19 กันยายน ค.ศ.1927 ศาลสยามยอมรับบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแต่ในข้อที่ว่าจำเลยเป็นคู่สัญญาเดิมหรือไม่นั้นศาลเป็นผู้วินิจฉัยเอง ไม่ใช่ถือตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ กฎหมายระวางประเทศแผนกคดีบุคคล การทำสัญญาระวางบุคคล 2 ประเทศ การใช้กฎหมายบังคับแบบแห่งสัญญาผลแห่งสัญญาและความสามารถของคู่สัญญาต้องใช้กฎหมายของประเทศที่ทำสัญญากันบังคับเมื่อจำเลยปฏิเสธว่ามิได้เป็นคู่สัญญาต้องใช้กฎหมายในประเทศที่จำเลยอยู่บังคับประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.34 ป้องกันในศาลสยามแต่พะยานอยู่ในประเทศเยอรมัน โจทก์ส่งเอกสารคำพะยานซึ่งสาบาลตัวรับรองว่าเป็นสัตยจริงต่อม้าโนตารีบับลิกซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายประเทศนั้น+มีกงสุลสยามลงชื่อรับรองลายมือผู้เขียนด้วยนั้น ศาล+ยอมรับฟังเป็นพะยานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2477
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันการปลูกเรือน: สิทธิในการเรียกเงินประกันคืน
สัญญา ฝ่ายหนึ่งให้ทรัพย์แก่อีก ฝ่ายหนึ่งไว้เป็นประกันในการที่ตนตกลง จะปลูกเรือนให้แก่บุคคลที่ 3 ในระวางเวลาที่ยังไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลง ผลผูกพันของสัญญายังหาหมดสิ้นไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 713-714/2472
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการทำสัญญาประกันตัวสำคัญกว่าถ้อยคำ การตีความตามเจตนาของคู่สัญญา
ในการตีความแสดงเจตนานั้นท่านให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร พ.ร.บ.ฎีกาอุทธรณ์ การแปลข้อความในหนังสือสัญญาประกันเปนปัญหาข้อกฎหมาย วิธีพิจารณาแพ่ง เมื่อคู่กรณีย์รับกันว่ามีเจตนาเข้าทำนิติกรรมกันอย่างใดแล้ว ศาลไม่จำเป็นต้องตีความประการใดอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2472
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดสัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อคู่สัญญาไม่จัดการให้เป็นไปตามสัญญา แม้จะมีอุปสรรคระหว่างดำเนินการ
ในระหว่างที่คู่สัญญายังจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เปนไปตามสัญญา การผิดสัญญาก็ยังไม่มี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1582/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ราคาสินค้าที่แท้จริง, ความผิดสัญญา, และความไม่สุจริตของคู่สัญญาในการซื้อขายเครื่องจักร
จำเลยไม่ได้ยื่นคำร้องตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาว่า สัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการแต่โจทก์ไม่ได้เสนอข้อพิพาทตามสัญญาต่อคณะอนุญาโตตุลาการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้
จำเลยค้างชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์เพียง 260,050 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้ 931,950 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการเรียกร้องเกินจำนวนที่แท้จริงถึง 671,900 ดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นการอ้างความเท็จเพื่อเอาเปรียบจำเลย แต่จำเลยก็นำสืบทำนองว่า จำเลยเองเป็นฝ่ายขอให้โจทก์แสดงราคาสินค้าให้สูงเกินจริงด้วยเพื่อจะนำไปใช้ประโยชน์ต่อสภาพกิจการของจำเลย รวมทั้งใช้ราคาที่กำหนดสูงขึ้นนี้ขอสินเชื่อต่อธนาคารและจดทะเบียนจำนองเครื่องจักรนี้เป็นประกันการชำระหนี้สินเชื่อต่อธนาคารดังกล่าว ทั้งนี้โดยจำเลยถือโอกาสที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนซึ่งได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องชำระภาษีศุลกากรการนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม อันถือเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ถือได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่สุจริตโจทก์จึงไม่อาจยกเอาประโยชน์แห่งความไม่สุจริตดังกล่าวเรียกร้องเอาหนี้ได้เต็มจำนวน แต่จำเลยก็ยังคงต้องรับผิดชำระหนี้ค่าสินค้าในส่วนคงค้างต่อโจทก์
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยยังคงต้องรับผิดชำระหนี้ค่าสินค้าเครื่องรีดพลาสติกในส่วนคงค้างต่อโจทก์ 260,050 ดอลลาร์สหรัฐ และโจทก์ก็ต้องรับผิดในค่าเสียหายจากความชำรุดบกพร่องของสินค้ารวมถึงอุปกรณ์ที่ยังขาดส่งรวมเป็นเงิน 3,377,261.31 บาท จำเลยจึงยังคงต้องชำระค่าสินค้าดังกล่าวแต่สามารถหักค่าเสียหายที่โจทก์ต้องรับผิดชอบออกได้
จำเลยค้างชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์เพียง 260,050 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้ 931,950 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการเรียกร้องเกินจำนวนที่แท้จริงถึง 671,900 ดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นการอ้างความเท็จเพื่อเอาเปรียบจำเลย แต่จำเลยก็นำสืบทำนองว่า จำเลยเองเป็นฝ่ายขอให้โจทก์แสดงราคาสินค้าให้สูงเกินจริงด้วยเพื่อจะนำไปใช้ประโยชน์ต่อสภาพกิจการของจำเลย รวมทั้งใช้ราคาที่กำหนดสูงขึ้นนี้ขอสินเชื่อต่อธนาคารและจดทะเบียนจำนองเครื่องจักรนี้เป็นประกันการชำระหนี้สินเชื่อต่อธนาคารดังกล่าว ทั้งนี้โดยจำเลยถือโอกาสที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนซึ่งได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องชำระภาษีศุลกากรการนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม อันถือเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ถือได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่สุจริตโจทก์จึงไม่อาจยกเอาประโยชน์แห่งความไม่สุจริตดังกล่าวเรียกร้องเอาหนี้ได้เต็มจำนวน แต่จำเลยก็ยังคงต้องรับผิดชำระหนี้ค่าสินค้าในส่วนคงค้างต่อโจทก์
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยยังคงต้องรับผิดชำระหนี้ค่าสินค้าเครื่องรีดพลาสติกในส่วนคงค้างต่อโจทก์ 260,050 ดอลลาร์สหรัฐ และโจทก์ก็ต้องรับผิดในค่าเสียหายจากความชำรุดบกพร่องของสินค้ารวมถึงอุปกรณ์ที่ยังขาดส่งรวมเป็นเงิน 3,377,261.31 บาท จำเลยจึงยังคงต้องชำระค่าสินค้าดังกล่าวแต่สามารถหักค่าเสียหายที่โจทก์ต้องรับผิดชอบออกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1180/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมกัน: การรับผิดชอบของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย และขอบเขตการบังคับคดี
ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นกรณีที่โจทก์ จำเลยมุ่งระงับข้อพิพาทระหว่างกันและมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดอย่างคดีธรรมดาที่จะต้องพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ จำเลยแล้วพิพากษาชี้ขาดประเด็นข้อพิพาท ข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความจึงอาจมีผลไม่ตรงหรือไม่เป็นไปตามคำขอท้ายฟ้องได้ ถ้าข้อตกลงนั้นเกี่ยวพันกับประเด็นแห่งคดีและไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายเพราะเป็นไปตามข้อตกลงที่คู่ความต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 142 ซึ่งห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นไกล่เกลี่ยแล้วคู่ความในคดีรวมทั้ง ก. และ น. ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมจึงไม่ขัดต่อกฎหมาย แม้จะมี ก. และ น. เข้าร่วมตกลงด้วย
การที่โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสอง ก. และ น. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอม สัญญาประนีประนอมยอมความจึงชอบด้วยกฎหมาย ผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่ายในสัญญาประนีประนอมยอมความ ส่วนคำพิพากษาตามยอมซึ่งพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันเฉพาะคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความเว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 142 (1), 245 และ 274 และในข้อยกเว้นตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) (2) เมื่อ ก. ประพฤติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิขอบังคับคดีแก่ ก. โดยอาศัยสัญญาประนีประนอมและคำพิพากษาตามยอมคดีนี้ แต่เป็นกรณีที่โจทก์ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ ก. เป็นคดีต่างหาก แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 11 ระบุว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดข้อตกลงในสัญญายอมข้อใดข้อหนึ่งให้บังคับคดีไปตามสัญญายอมนี้ได้ทันที โดยให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมของศาลเป็นการแสดงเจตนา พร้อมให้ชำระเงิน 2,000,000 บาท แก่คู่ความอีกฝ่ายด้วย ก็มีความหมายเพียงว่า ถ้าคู่สัญญาคนใดในสัญญาประนีประนอมยอมความผิดสัญญาข้อใดก็ให้บังคับคดีเอาแก่คู่สัญญานั้นตามสัญญาแต่ละข้อเท่านั้น เพราะในสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับดังกล่าวมิได้มีข้อตกลงให้โจทก์ทั้งสองกับ ก. ต้องรับผิดร่วมกันในการชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงมิได้ประพฤติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเอาแก่โจทก์ทั้งสอง
การที่โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสอง ก. และ น. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอม สัญญาประนีประนอมยอมความจึงชอบด้วยกฎหมาย ผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่ายในสัญญาประนีประนอมยอมความ ส่วนคำพิพากษาตามยอมซึ่งพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันเฉพาะคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความเว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 142 (1), 245 และ 274 และในข้อยกเว้นตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) (2) เมื่อ ก. ประพฤติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิขอบังคับคดีแก่ ก. โดยอาศัยสัญญาประนีประนอมและคำพิพากษาตามยอมคดีนี้ แต่เป็นกรณีที่โจทก์ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ ก. เป็นคดีต่างหาก แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 11 ระบุว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดข้อตกลงในสัญญายอมข้อใดข้อหนึ่งให้บังคับคดีไปตามสัญญายอมนี้ได้ทันที โดยให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมของศาลเป็นการแสดงเจตนา พร้อมให้ชำระเงิน 2,000,000 บาท แก่คู่ความอีกฝ่ายด้วย ก็มีความหมายเพียงว่า ถ้าคู่สัญญาคนใดในสัญญาประนีประนอมยอมความผิดสัญญาข้อใดก็ให้บังคับคดีเอาแก่คู่สัญญานั้นตามสัญญาแต่ละข้อเท่านั้น เพราะในสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับดังกล่าวมิได้มีข้อตกลงให้โจทก์ทั้งสองกับ ก. ต้องรับผิดร่วมกันในการชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงมิได้ประพฤติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเอาแก่โจทก์ทั้งสอง