คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าขึ้นศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 443 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3068/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำนองครอบคลุมทรัพย์สินทั้งหมด การไถ่ถอนจำนองเฉพาะบางส่วน และการคืนค่าขึ้นศาลในคดีไม่มีทุนทรัพย์
เมื่อจำเลยที่ 4 เป็นหนี้จำเลยที่ 1จำนวน 42,000,000 บาทเศษ แม้หากจำเลยที่ 3 ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 1,300,000 บาท การจำนองก็ยังคงครอบไปถึงที่ดินที่จำนองทุกแปลง เว้นแต่จำเลยที่ 1ผู้รับจำนองยินยอมด้วยก็สามารถปลอดจำนองที่ดินแปลงใดได้ดังนั้นการที่โจทก์ขอชำระหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 เพียงบางส่วนเพื่อให้ที่ดินพิพาทปลอดจากจำนองย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะยอมรับหรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอม ก็ไม่มีทางที่จะบังคับจำเลยที่ 1 ให้ยินยอมอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายได้ เมื่อคำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องค่าขึ้นศาลไม่ถูกต้องแม้โจทก์ไม่โต้แย้งคำสั่ง โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว หรือแม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาดังกล่าวแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลสูงชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลในคดีล้มละลาย: การคำนวณทุนทรัพย์และผลของการไม่ชำระค่าขึ้นศาล
พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสองและวรรคสาม บัญญัติให้บุคคลที่ได้รับแจ้งความยืนยันหนี้คัดค้านต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องภายในกำหนดเวลาสิบสี่วันนับแต่ได้รับแจ้งความยืนยัน และตาม พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 179 มิได้บัญญัติเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมคำร้องไว้โดยเฉพาะจึงต้องนำตาราง 2 (3) ท้าย ป.วิ.พ. ซึ่งกำหนดให้คู่ความเสียค่าธรรมเนียมการยื่นคำขออื่น ๆ ที่ต้องทำเป็นคำร้องเพียง 20 บาท มาใช้บังคับ สำหรับชั้นอุทธรณ์นั้น ตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้คู่ความทำเป็นคำร้อง และตาม พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 179 วรรคท้าย บัญญัติให้คิดอัตราเดียวกับค่าธรรมเนียมตามป.วิ.พ. เมื่อผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ยกคำสั่งของผู้คัดค้านที่ยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้โดยอ้างว่าไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามจำนวนที่ผู้คัดค้านแจ้งยืนยัน หากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี ทุกข์ของผู้ร้องย่อมปลดเปลื้องไปเท่ากับจำนวนเงินที่ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้องซึ่งมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนหนี้ที่ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดตามที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องนั้น อันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตามตาราง 1 ข้อ (1) (ก) ท้าย ป.วิ.พ. ประกอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 179 วรรคท้าย ซึ่งผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระ แต่ผู้ร้องไม่ชำระ จึงเป็นการทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2),246 ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ศาลอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามมาตรา 132 (1) ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 153 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระภายในกำหนด อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมาย และพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง เช่นนี้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลในคดีล้มละลาย: การคำนวณทุนทรัพย์และผลของการไม่ชำระค่าขึ้นศาล
พระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา119วรรคสองและวรรคสามบัญญัติให้ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับแจ้งความยืนยันหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องและตามมาตรา179มิได้บัญญัติเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมคำร้องไว้โดยเฉพาะจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมคำร้องเพียง20บาทเช่นเดียวกับการยื่นคำขออื่นๆต่อศาลชั้นต้นที่ต้องทำเป็นคำร้องตามตาราง2(3)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งสำหรับชั้นอุทธรณ์นั้นหากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีทุกข์ของผู้ร้องย่อมปลดเปลื้องไปเท่ากับจำนวนเงินที่ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระหนี้อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้องที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง1ข้อ(1)(ก)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งประกอบพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา179วรรคท้ายซึ่งผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ การที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระแต่ผู้ร้องเพิกเฉยจึงเป็นการทิ้งฟ้องศาลอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา132(1),174(2)และมาตรา246ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา153ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องต้องห้ามตามกฎหมายพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1960/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาวางค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียม: จำเลยต้องดำเนินการตรวจสอบและเตรียมเงินด้วยตนเอง
จำเลยที่1และที่3ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ศาลชั้นต้นอนุญาตต่อมาจำเลยที่1และที่3ยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียมในวันสุดท้ายที่จำเลยที่1มีสิทธิยื่นอุทธรณ์โดยอ้างเหตุว่าเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ศาลที่คำนวณค่าธรรมเนียมส่วนที่จำเลยที่1และที่3จะต้องใช้แทนโจทก์ได้ไม่ทันและจำเลยที่1และที่3ไม่ได้เตรียมเงินสดเฉพาะค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาจึงไม่สามารถวางค่าขึ้นศาลส่วนนี้ได้ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่1และที่3จะต้องขวนขวายดำเนินการทั้งค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ก็เป็นเรื่องที่ผู้แพ้คดีซึ่งต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาต้องตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ศาลเองหาใช่เรื่องที่เจ้าหน้าที่ศาลจะต้องแจ้งให้ทราบเพื่อจะได้เตรียมเงินมาวางให้ทันแต่อย่างไรไม่กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23จึงไม่เป็นเหตุที่จะขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์และค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1042/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีประกันภัยรถยนต์ และค่าขึ้นศาล
โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามสัญญาประกันภัย ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่ชนรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้ใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยของโจทก์ไปแล้วนั้น เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน ซึ่งมีอายุความ 2 ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 882 เหตุวินาศภัยเกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2534 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2536 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 223 ทวิ เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความแล้วจำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์เช่นนี้ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้าย ป.วิ.พ.ตาราง 1 ข้อ 2 (ก) เมื่อปรากฎว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลไม่ครบและการขอบังคับคดีขับไล่: ศาลมีอำนาจสั่งให้ชำระเพิ่มเติมได้ และคำพิพากษาไม่เกินคำขอ
กรณีที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ครบถ้วนได้ การที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลไว้ให้ครบ เป็นการคลาดเคลื่อน และเป็นการผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลขาด แต่ไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่น ๆ หรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยได้นำรถไถเข้าไปไถที่ดินและหว่านกล้าในที่ดินพิพาททั้งแปลง ที่ดินพิพาทสามารถปลูกข้าวและปลูกพืชไร่ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งโจทก์ก็ได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยมาเป็นรายปีจำเลยก็เบิกความยอมรับว่าได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องแต่เพียงว่า ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ย่อมมีความหมายว่าขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่นอกเหนือหรือเกินคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลไม่ครบและการขับไล่จำเลยนอกเหนือคำขอท้ายฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่กระทบผลบังคับ
หากโจทก์เสียค่าขึ้นศาลไม่ครบหรือไม่ถูกต้องศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เสียเพิ่มให้ครบถ้วนได้ทั้งการที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลให้ครบก็ทำให้ผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่นๆหรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจำเลยนำรถเข้าไปไถที่ดินและหว่านกล้าในที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยมาเป็นรายปีแล้วแม้จะมีคำขอท้ายฟ้องเพียงว่าห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ย่อมมีความหมายว่าขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทจึงไม่นอกเหนือหรือเกินคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลไม่ครบและคำขอท้ายฟ้อง: ศาลมีอำนาจสั่งให้ชำระเพิ่ม และคำพิพากษาขับไล่ไม่เกินคำขอ
กรณีที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาไม่ครบหรือไม่ถูกต้องศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ครบถ้วนได้การที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลไว้ให้ครบเป็นการคลาดเคลื่อนและเป็นการผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลขาดแต่ไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่นๆหรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจำเลยได้นำรถไถเข้าไปไถที่ดินและหว่านกล้าในที่ดินพิพาททั้งแปลงที่ดินพิพาทสามารถปลูกข้าวและปลูกพืชไร่ได้ตลอดทั้งปีซึ่งโจทก์ก็ได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยมาเป็นรายปีจำเลยก็เบิกความยอมรับว่าได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องแต่เพียงว่าห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ย่อมมีความหมายว่าขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่นอกเหนือหรือเกินคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7975/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ชำระค่าขึ้นศาล: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจจำหน่ายคดี
ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์ในรูปคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง แต่อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดีและยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคหนึ่งและตาราง 1(2)(ก) ในอัตรา 200 บาท แต่ผู้ร้องเสียเป็นค่าคำร้อง 40 บาท เท่านั้นจึงไม่ถึงต้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จากผู้ร้องเพิ่มเติม ผู้ร้องทราบคำสั่งแล้วไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระภายในระยะเวลาตามคำสั่งของศาลชั้นต้นตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ถือได้ว่าผู้ร้องเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีอันเป็นการทิ้งฟ้องตามมาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246ศาลอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตาม มาตรา 132(1) แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยว่าการที่ผู้ร้องไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มเติมจึงเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายและพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องเช่นนี้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6522/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานเกินกำหนด & ค่าขึ้นศาลฎีกา
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานวันที่ 4 ตุลาคม 2536 แม้จะเป็นเวลาน้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันชี้สองสถาน แต่ก็ปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิยื่นบัญชีระบุพยานได้จนถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2536 แต่วันดังกล่าวเป็นวันอาทิตย์หยุดราชการ รุ่งขึ้นวันที่ 4โจทก์ก็ยื่นบัญชีระบุพยานทันที ทั้งปรากฏด้วยว่าโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอส่งสำเนาเอกสารที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานตามบัญชีระบุพยานให้แก่ศาลและจำเลยได้รับไปจากศาลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2536 แล้วเช่นนี้ เห็นได้ว่าโจทก์มิได้จงใจฝ่าฝืนและเอาเปรียบจำเลยฉะนั้นแม้โจทก์จะยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานน้อยกว่าสิบห้าวันและมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานต่อศาล แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สมควรให้รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ได้ ตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 87 (2)
จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้รับบัญชีระบุพยานของโจทก์เป็นการไม่ชอบ เป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาเพียง 200 บาท จำเลยเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์สินที่พิพาทจึงเสียเกินมา ชอบที่ศาลฎีกาจะสั่งคืนแก่จำเลย
of 45