คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลยืน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 196 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2482

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเบี้ยปรับสัญญาซื้อขายข้าวเปลือก ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์ฟ้องเรียกเงิน 2 จำนวน รวมกันเกิน 2000 บาท จำเลยยอมรับใช้เงินจำนวนหนึ่ง ส่วนอีกจำนวนหนึ่งซึ่งจำเลยปฏิเสธและเป็นข้อพิพาทกันสืบไปนั้นมีจำนวนไม่ถึง 2000 บาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้โจทก์ชนะคดีดังนี้ จำเลยฏีกาในข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2481

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักทรัพย์กระบือ: ศาลยืนตามศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำคุก
พฤตติการณ์ที่สันนิษฐานได้+จำเลยเป็นผู้ร้ายลักกระบือ ประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม.218 ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปีตามกฎหมายอาญา ม.321 ศาลอุทธรณ์แก้ให้จำคุกจำเลย 5 ปีตาม ม.296 ดังนี้ เป็นแก้ศาลฎีกาในข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 374/2481

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการถูกด่าทอ ไม่เป็นลักษณะบันดาลโทษะ ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
พฤตติการณ์ที่เป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนากับคนที่ด่าว่าถึงตายไม่ฟ้องด้วยลักษณบันดาลโทษะตาม ม.55

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2479

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรอการลงอาญาในคดีพะนัน: ศาลยืนตามศาลอุทธรณ์
ความรับผิดตาม พ.ร.บ.การพะนัน ศาลสั่งให้รอการลงอาญาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2478

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมและการยกเหตุต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกายืนตามศาลล่าง
อย่างไรไม่เรียกว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุมฟ้องโจทก์ระบุข้อความ วัน,เดือน,ปี สถานที่ที่จำเลยกระทำผิด ไม่เรียกว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม พ.ร.บ.ฎีกาอุทธรณ์ พ.ศ.2461 ม.9 ข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นต่อสู้หันมาแต่ชั้นศาลล่างเพิ่งมากล่าวอ้างชั้นฏีกา ศาลฎีกายอมรับวินิจฉัยปัญหากฎหมายเรื่องเคลือบคลุมหรือไม่ในปัญหากฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2473

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีปล้นทรัพย์: ศาลยืนตามคำตัดสินของศาลล่าง
คู่ความบังคับสยามเจ้าทุกข์บังคับอังกฤษจำเลยฎีกาข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2472

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพยานเด็กและน้ำหนักหลักฐาน: ศาลยืนตามศาลอุทธรณ์แม้คำพยานเด็กมีข้อสังเกต
เด็กอายุ 10-12 ฟังได้เพียงไร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดบุกรุกป่าสงวนฯ และการครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย ศาลยืนตามบทลงโทษเดิม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดโค่นทำลายต้นไม้บริเวณป่า ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำลำธารในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าพะโต๊ะ ป่าปังหวาน และป่าปากทรงและเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า กับมีคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54, 72 ตรี พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง (3) และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 38, 54 เมื่อจำเลยทั้งหกให้การรับสารภาพตามฟ้อง การกระทำของจำเลยทั้งหกย่อมเป็นความผิดต่อกฎหมายทั้งสามฉบับดังกล่าว อีกทั้งความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 31 วรรคสอง ก็มีโทษหนักกว่าความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 54 วรรคหนึ่งด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ปรับบทว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดฐานร่วมกันบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 นั้น จึงถูกต้องแล้ว
การที่จำเลยทั้งหกบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นต้นน้ำลำธารและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เป็นเนื้อที่ 3 ไร่เศษ ผลของการกระทำของจำเลยทั้งหกนอกจากจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อสภาพพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารแล้ว ยังเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของชาติ เป็นต้นเหตุให้ป่าไม้เสื่อมสภาพและมีจำนวนลดน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางธรรมชาติโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติขึ้น ซึ่งจะเป็นผลเสียหายต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไปและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ อีกทั้งเจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งหกพร้อมอาวุธปืนยาวขนาด .22 ไม่มีเครื่องหมายทะเบียน 2 กระบอก อาวุธปืนพกขนาด 9 มม. 1 กระบอก และมีกระสุนปืนทั้งสองขนาดจำนวนมาก ซึ่งจำเลยทั้งหกร่วมกันมีและพาไปขณะบุกรุกที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดังกล่าว ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งหกมีเจตนาจะใช้อาวุธปืนดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการล่าสัตว์ป่ารวมทั้งต่อสู้กับเจ้าพนักงานหากถูกจับกุม พฤติการณ์แห่งคดีจึงถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยทั้งหกไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและมีภาระจะต้องเลี้ยงดูครอบครัวและที่จำเลยที่ 3 อ้างว่ามีสุขภาพไม่แข็งแรง เคยประสบอุบัติเหตุไม้ยางพาราล้มทับกระเพาะปัสสาวะแตกเคยเข้ารับการผ่าตัด และต้องสวมแผ่นรองซับปัสสาวะตลอดก็ไม่ปรากฏหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจน จึงยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งหก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13054/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต้มพืชกระท่อมไม่เข้าข่ายผลิตยาเสพติด แต่เป็นการเสพและมีไว้ในครอบครอง ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 นิยามคำว่า "ผลิต" หมายความว่า เพาะ ปลูก ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูป หรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ และให้หมายถึงการแบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุด้วยซึ่งการกระทำความผิดฐานผลิตมีอัตราโทษมากกว่าการมีไว้ในครอบครอง ย่อมต้องมีลักษณะการกระทำที่รุนแรงกว่า การต้มใบพืชกระท่อมของจำเลยจึงเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการเสพ โดยการเปลี่ยนจากการเสพใบสด ๆ มาเป็นการต้มเป็นน้ำเพื่อสะดวกแก่การนำเข้าสู่ร่างกาย ประกอบกับมีปริมาณเป็นจำนวนเล็กน้อย ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีการนำน้ำต้มพืชกระท่อมของกลางไปผสมกับยาแก้ไอหรือน้ำอัดลมเพื่อให้เกิดการมึนเมา ประสาทหลอน และเป็นอันตรายต่อบุคคลในสังคม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามฟ้องโจทก์ คงมีความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18660-18677/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าครองชีพเป็นค่าจ้างตามกฎหมาย: ศาลยืนตามคำพิพากษาให้จ่ายค่าล่วงเวลาโดยคำนวณจากค่าครองชีพด้วย
เงินประเภทใดจะเป็นค่าจ้างหรือไม่ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ผู้ใดจะวางระเบียบหรือตกลงให้ผิดไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เมื่อตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างปรากฏว่าจำเลยผู้เป็นนายจ้างตกลงจ่ายค่าครองชีพให้แก่ลูกจ้างมีกำหนดจ่ายเป็นรายเดือนทุกเดือนตลอดมาทำนองเดียวกับเงินเดือน ไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยจ่ายค่าครองชีพเกี่ยวข้องกับภาวะค่าครองชีพโดยเฉพาะหรือจ่ายเพื่อช่วยเหลืออื่นใด ค่าครองชีพดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้างตามมาตรา 5 ซึ่งต้องนำไปคำนวณจ่ายค่าล่วงเวลา แม้จะมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่ให้นำค่าครองชีพไปรวมคำนวณจ่ายค่าล่วงเวลาก็เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อมาตรา 61 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาโดยคำนวณจากค่าจ้าง ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลใช้บังคับ
of 20