พบผลลัพธ์ทั้งหมด 412 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5128/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดคำสั่งนายจ้างและการเลิกจ้าง: ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเนื่องจากข้อเท็จจริงขัดแย้งกัน
ศาลแรงงานได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ 2 ข้อ คือ ข้อ 1. โจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยและจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วหรือไม่ ข้อ 2. โจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยหรือไม่โดยประเด็นข้อพิพาทที่ 1. ศาลแรงงานวินิจฉัยตอนต้นว่า โจทก์ไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยซึ่งจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว แต่คำวินิจฉัยในตอนต่อมาที่ว่า การขัดคำสั่งของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยจงใจหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งของจำเลยเป็นอาจิณนั้น เป็นการฟังว่าโจทก์ฝ่าฝืนหรือขัดคำสั่งของจำเลยคำวินิจฉัยของศาลแรงงานในประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 ดังกล่าวเป็นการฟังข้อเท็จจริงเป็นสองอย่างขัดแย้งกัน ศาลฎีกาจึงไม่มีข้อเท็จจริงอันเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานที่จะนำมาวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อกฎหมายของจำเลยเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงซึ่งศาลแรงงานฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงเสียเองได้จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเสียใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 พระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31,56
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3291/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนในคดีแรงงาน: ผลของการจำหน่ายคดีเดิมและการฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางได้สั่งจำหน่ายคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ด้วยเหตุที่โจทก์ขาดนัดพิจารณา คดีตามฟ้องเดิมของโจทก์จึงไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอีกต่อไป โจทก์ย่อมยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันเป็นคดีใหม่ต่อศาลแรงงานกลางในวันเดียวกันหลังจากศาลแรงงานกลางสั่งจำหน่ายคดีแล้วได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 173 (1) ส่วนที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลแรงงานกลางในวันต่อมานั้นเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่จำหน่ายคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยซึ่งเป็นคดีคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมของโจทก์ การยื่นอุทธรณ์และคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ถือว่าคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาอันจะเป็นเหตุให้ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนอย่างไรก็ตาม ปรากฎว่าอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนของฟ้องแย้งนั้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้รับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา จึงทำให้ฟ้องแย้งของจำเลยในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามที่จะรับไว้พิจารณา ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142, 247 ประกอบด้วยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยในส่วนของฟ้องแย้งจึงไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยของศาลแรงงานและการอุทธรณ์ข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมายในคดีแรงงาน
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การทะเลาะวิวาทระหว่างโจทก์กับ ฉ.เป็นการโต้เถียงเพียงเล็กน้อยไม่ร้ายแรง หลังจากเลิกรากันแล้ว อ.ได้ขึ้นมาบนรถจึงมีการทะเลาะวิวาทกันระหว่าง อ.กับ ฉ.อีกครั้งหนึ่ง และ อ.ได้ทำร้ายร่างกายฉ. โจทก์มิได้เป็นผู้กระทำ ถือได้ว่าโจทก์มิได้ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและค่าเสียหายให้แก่โจทก์นั้น เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่าโจทก์ได้ร่วมกับ อ.บุตรชายโจทก์ทำร้าย ฉ.ดังที่ศาลแรงงานวินิจฉัยหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่วินิจฉัย
อุทธรณ์โจทก์ที่ว่า โจทก์ได้ทำงานเกินเวลาทำงานปกติ และทำงานในวันหยุดตามประเพณีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีนั้น เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลแรงงานที่ว่าโจทก์นำสืบไม่ถึงในส่วนที่เกี่ยวกับเวลาทำงานที่เกินจากปกติตลอดจนส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานในวันหยุดตามประเพณีหรือในวันหยุดพักผ่อนประจำปีศาลแรงงานจึงไม่กำหนดค่าทำงานและค่าจ้างให้ตามที่โจทก์เรียกร้อง อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวนี้เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์วางเงินประกันจำนวน5,000 บาท ต่อจำเลยเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2526 โจทก์ได้ทำงานมาตลอดตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปี 2535 ในเดือนที่มีการเลิกจ้างจำเลยแสดงหนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์รับสภาพต่อจำเลยในช่วงปี 2534 นอกจากนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอีกตามเอกสารหมาย ล.3 พยานโจทก์ไม่อาจหักล้างเรื่องหนี้ที่เกิดจากการกระทำของโจทก์ในระหว่างการทำงานให้จำเลย ซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงเงินประกันได้ อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้ให้จำเลยไปแล้ว ความเสียหายตามเอกสารหมาย ล.3 ไม่ยืนยันว่าโจทก์จะต้องรับผิดทางแพ่ง จึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
อุทธรณ์โจทก์ที่ว่า โจทก์ได้ทำงานเกินเวลาทำงานปกติ และทำงานในวันหยุดตามประเพณีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีนั้น เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลแรงงานที่ว่าโจทก์นำสืบไม่ถึงในส่วนที่เกี่ยวกับเวลาทำงานที่เกินจากปกติตลอดจนส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานในวันหยุดตามประเพณีหรือในวันหยุดพักผ่อนประจำปีศาลแรงงานจึงไม่กำหนดค่าทำงานและค่าจ้างให้ตามที่โจทก์เรียกร้อง อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวนี้เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์วางเงินประกันจำนวน5,000 บาท ต่อจำเลยเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2526 โจทก์ได้ทำงานมาตลอดตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปี 2535 ในเดือนที่มีการเลิกจ้างจำเลยแสดงหนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์รับสภาพต่อจำเลยในช่วงปี 2534 นอกจากนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอีกตามเอกสารหมาย ล.3 พยานโจทก์ไม่อาจหักล้างเรื่องหนี้ที่เกิดจากการกระทำของโจทก์ในระหว่างการทำงานให้จำเลย ซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงเงินประกันได้ อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้ให้จำเลยไปแล้ว ความเสียหายตามเอกสารหมาย ล.3 ไม่ยืนยันว่าโจทก์จะต้องรับผิดทางแพ่ง จึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงานในการแก้ไขโทษทางวินัยต้องไม่กระทบสิทธินายจ้างและสร้างความเสมอภาคในการลงโทษ
อำนาจในการที่จะลดโทษให้แก่ลูกจ้างที่กระทำผิดนั้นเป็นอำนาจของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างโดยเฉพาะ มิฉะนั้นแล้วหากมีกรณีลูกจ้างอื่นที่มิใช่กรรมการลูกจ้างกระทำความผิดอย่างเดียวกันและผู้ร้องได้ลงโทษลูกจ้างนั้นตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานโดยไม่มีการลดโทษเลย โทษที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษกรรมการลูกจ้างจะเบากว่าโทษที่ผู้ร้องลงแก่ลูกจ้างอื่น การลงโทษลักลั่นกันเช่นนี้ลูกจ้างอื่นอาจเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม มีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งอาจเกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร้องกับลูกจ้างและเป็นผลเสียต่อการบังคับบัญชาลูกจ้างของผู้ร้อง จึงไม่ต้องด้วยกรณีที่ศาลแรงงานกลางจะใช้อำนาจตาม มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ในอันที่จะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลสั่งรับทำงานต่อ ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างหยุด
ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นว่า การเลิกจ้างลูกจ้างไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้างตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ศาลแรงงานอาจสั่งได้เป็น 2 ประการคือ ให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานต่อไปประการหนึ่ง และให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้างในกรณีที่เห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้อีกประการหนึ่ง ในกรณีที่ศาลแรงงานสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานต่อไป กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้ศาลแรงงานสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง นับแต่วันที่เลิกจ้างจนถึงวันที่รับลูกจ้างกลับเข้าทำงานด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4658/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางที่ยกคำร้องงดขายทอดตลาด ต้องยื่นภายใน 15 วันตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลาง ขอให้งดการขายทอดตลาด ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดในคดีแรงงานจึงเป็นคดีที่สืบเนื่องมาจากคดีแรงงาน เมื่อศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปยังศาลฎีกาได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4658/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานต้องทำภายใน 15 วัน หากพ้นกำหนด ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ที่โจทก์นำยึดในคดีแรงงานเป็นคดีสืบเนื่องมาจากคดีแรงงาน เมื่อศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ได้เฉพาะแต่ในปัญหาข้อกฎหมายไปยังศาลฎีกาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งแล้ว แม้ศาลแรงงานกลางสั่งรับอุทธรณ์มาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3173/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจวินิจฉัยคดีแรงงาน: อธิบดีศาลแรงงานกลางมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
คดีนี้เมื่อศาลแรงงานเห็นสมควรยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ขึ้นวินิจฉัย แสดงว่ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้วว่าคดีนี้จะอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานหรือไม่ ตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 9 วรรคสอง ที่บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้วินิจฉัย เมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีนี้จะอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยเสียเองว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลแรงงานกลางจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3172/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีเมื่อโจทก์ขาดนัด และผลกระทบต่อคดีฟ้องแย้ง: ศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาฟ้องแย้งต่อไป
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ในคดีแรงงานนัดแรก ทนายจำเลยมาศาลส่วนโจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคแรกประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ให้ศาลแรงงานมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์เสียจากสารบบความก็ตาม แต่คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ จำเลยจึงมีฐานะเป็นโจทก์ตามฟ้องแย้งและโจทก์ เดิมจึงตกเป็นจำเลยตามฟ้องแย้ง ต้องถือว่าโจทก์ตามฟ้องแย้ง มาศาลแล้ว และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 202 บัญญัติว่า ถ้าได้ส่งหมายกำหนดวัดนัดสืบพยานให้จำเลยทราบโดยชอบแล้ว จำเลยขาดนัดพิจารณา ให้ศาลมีคำสั่ง แสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วให้พิจารณาและชี้ขาด ตัดสิน คดีนั้นไปฝ่ายเดียว ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับแก่การ ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้ง กับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติโดยอนุโลม แม้การที่ ศาลแรงงานมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์อันทำให้ไม่มีคำฟ้องเดิม ที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปก็ตาม แต่ก็ยังมีตัวโจทก์ ที่ยังคงเป็นจำเลยของฟ้องแย้งอยู่ต่อไปจึงมีคู่ความครบถ้วน ทั้งสองฝ่ายที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ ดังนี้ การที่ศาลแรงงานมีคำสั่งจำหน่ายคดีทั้งหมด รวมทั้งคดี ตามฟ้องแย้งของจำเลยออกเสียจากสารบบความเพราะเหตุโจทก์ ขาดนัดพิจารณา จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3101/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความผิดสัญญาจ้างแรงงานและละเมิด: ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาอายุความทั้งสองประเภทได้
การที่จำเลยขับรถไปตามทางการที่จ้างของโจทก์ด้วยความประมาท ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานอย่างหนึ่ง และในขณะเดียวกันก็เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย แม้จำเลยจะอ้างอายุความเรื่องละเมิด โดยมิได้กล่าวถึงอายุความเรื่องผิดสัญญาขึ้นมาต่อสู้คดีโจทก์ก็ตาม แต่จำเลยก็ได้ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดคดีโจทก์จึงขาดอายุความขึ้นมากล่าวไว้ในคำให้การด้วยแล้วว่า มูลหนี้คดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2523 และโจทก์ได้รู้ถึงวันละเมิดอันหมายความถึงวันเกิดเหตุ อันเป็นมูลก่อให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องและรู้ตัวผู้ที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันนั้น แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 19 มกราคม2536 เมื่อนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องก็เป็นเวลาถึง 12 ปีเศษแล้ว จึงพ้นกำหนด1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือพ้นกำหนด 10 ปีนับแต่วันทำละเมิด จากข้อเท็จจริงที่ว่านับแต่วันเกิดเหตุซึ่งเป็นวันที่จำเลยปฏิบัติผิดสัญญาจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปี อันเป็นอายุความเรื่องผิดสัญญาจ้างแรงงานรวมอยู่ด้วย ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้อ้างอายุความเรื่องผิดสัญญาจ้างแรงงานขึ้นมาต่อสู้ไว้แล้ว เมื่อคดีโจทก์เป็นทั้งเรื่องผิดสัญญาจ้างแรงงานและละเมิดในขณะเดียวกันดังได้วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น ศาลแรงงานจึงมีอำนาจที่จะยกอายุความเรื่องผิดสัญญาจ้างแรงงานขึ้นมาปรับแก่คดีโจทก์ได้