คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หมิ่นประมาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 856 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีหมิ่นประมาท: การแยกพิจารณาคดีอาญาและแพ่ง และระยะเวลาการฟ้องร้อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่กล่าวหาว่าหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยเอกสาร แม้ว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีอาญาอันเนื่องจากการกระทำเดียวกัน แต่คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายในกำหนด3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 กรณีของโจทก์คดีนี้จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีหมิ่นประมาท: เริ่มนับเมื่อใด และผลของการฟ้องเกินกำหนด
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่โดยกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสี่หมิ่นประมาทโจทก์ด้วยเอกสาร แม้ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีอาญาอันเนื่องจากการกระทำเดียวกัน แต่คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดในขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีขาดอายุความตามป.อ. มาตรา 96 กรณีของโจทก์คดีนี้จึงไม่อยู่หลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 51 จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคแรก โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสี่ดำเนินคดีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2525 แสดงว่าโจทก์ต้องรู้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำการดัง ที่โจทก์กล่าวอ้างอย่างช้า ในวันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 5 เมษายน2528 เป็นกำหนด 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีหมิ่นประมาท: การเชื่อมโยงคดีอาญาและแพ่ง, ระยะเวลาเริ่มต้นนับจากวันที่รู้เรื่อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่กล่าวหาว่าหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยเอกสาร แม้ว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีอาญาอันเนื่องจากการกระทำเดียวกัน แต่คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายในกำหนด3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 กรณีของโจทก์คดีนี้จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3031/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เนรคุณและการถอนคืนการให้: การใช้คำพูดดูหมิ่นและหมิ่นประมาทมารดาถือเป็นเนรคุณ
ที่จำเลยด่าโจทก์ว่า "อี หัวอ่อน มึงทำไปเถอะ เดี๋ยวมึงก็ตาย มึงขโมยวัดที่ดินกู กูจะสู้มึง ถึงไม่ได้สักหน่อยกูก็จะเอา กูไม่นับถือมึงหรอก" นั้น จำเลยใช้คำพูดขึ้นมึงกูกับโจทก์ซึ่งเป็นมารดาของตนเอง แสดงว่าสิ้นความเคารพนับถือยำเกรงอยู่แล้ว ทั้งยังกล่าวถ้อยคำหาว่าโจทก์ขโมยวัดที่ดินของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง และทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง อันเป็นการประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) โจทก์จึงถอนคืนการให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3031/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประพฤติเนรคุณด้วยคำพูดดูหมิ่นและหมิ่นประมาท ถือเป็นเหตุให้ผู้ให้ถอนคืนการให้ได้
ที่จำเลยด่าโจทก์ว่า "อี หัวอ่อน มึงทำไปเถอะเดี๋ยว มึงก็ตายมึงขโมยวัดที่ดินกู กูจะสู้มึง ถึงไม่ได้สักหน่อยกูก็จะเอา กูไม่นับถือมึงหรอก" นั้น จำเลยใช้คำพูดขึ้นมึงกูกับโจทก์ซึ่งเป็นมารดาของตนเอง แสดงว่าสิ้นความเคารพนับถือยำเกรงอยู่แล้วทั้งยังกล่าวถ้อยคำหาว่าโจทก์ขโมยวัดที่ดินของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง และทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง อันเป็นการประพฤติเนรคุณตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531(2)โจทก์จึงถอนคืนการให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ ความเสียหายต่อชื่อเสียงทางการเมืองและอาชีพแพทย์ ค่าสินไหมทดแทนที่สมควร
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริงเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงของโจทก์ทั้งด้านการเมืองและด้านการประกอบอาชีพ โดยขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นรองหัวหน้าพรรคประชากรไทยและประกอบอาชีพเป็นแพทย์ การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของหนังสือพิมพ์และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ โจทก์ขอคิดค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 500,000 บาท เป็นการบรรยายฟ้องโดยแสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่า การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงของโจทก์ ทั้งในด้านการเมืองและการประกอบอาชีพแพทย์ ส่วนจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ แม้จะขอรวมกันมาโดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่า ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงในด้านการเมืองเป็นจำนวนเท่าใด ด้านประกอบอาชีพแพทย์เป็นจำนวนเท่าใดก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
จำเลยลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์โดยพาดหัวว่า บ.มินิแบร์โวยบุญเทียมทำแสบ ดอง เรื่องเที่ยวบินขนผลิตภัณฑ์ และมีข้อความต่อไปว่า บุญเทียม เขมาภิรัตน์ ถูกโวย อีกแล้ว บริษัทมินิแบร์ผู้ผลิตตลับลูกปืนร้องเรียนกระทรวงอุตสาหกรรมถูกบุญเทียมเตะถ่วงอนุมัติเที่ยวบินพิเศษขนผลิตภัณฑ์ส่งขายนอกการกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหาย ทำให้ไม่มั่นใจในการลงทุนในไทย เผยผจญปัญหามาปีเศษแล้ว และมีข้อความต่อไปว่า การขออนุมัติเที่ยวบินพิเศษนี้ กรมการบินพาณิชย์จะเสนอต่อนายแพทย์บุญเทียม เขมาภิรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แต่ติดขัดที่ นายแพทย์บุญเทียมกว่าจะลงนามเห็นชอบก็จวนถึงเวลาที่มินิแบร์ได้เตรียมการบินไว้แล้ว ซึ่งโจทก์กล่าวในฟ้องว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง จำเลยให้การยอมรับว่าได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ข้อความดังกล่าวไม่เป็นหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ การเสนอข่าวของจำเลยเป็นการชอบธรรมอันอยู่ในวิสัยซึ่งบุคคลในฐานะเช่นจำเลยกระทำได้ไม่ได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์เป็นความจริงเท่ากับยอมรับว่าไม่เป็นความจริง
จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์เก็บเรื่องการขออนุมัติเที่ยวบินพิเศษเพื่อขนผลิตภัณฑ์ของบริษัทมินิแบร์ จำกัด และถ่วงเวลาไว้ ไม่รีบอนุมัติเที่ยวบินโดยเร็ว เป็นการกลั่นแกล้งบริษัทมินิแบร์ จำกัด ให้ได้รับความเสียหาย มิใช่การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรมอันอยู่ในวิสัยของบุคคลในฐานะเยี่ยงจำเลยพึงกระทำ จึงเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตาม ป.พ.พ. มาตรา 423 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ การพิสูจน์ความเสียหาย และการกำหนดค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสม
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อ เสียงของโจทก์ทั้งด้านการเมืองและด้านการประกอบอาชีพ โดยบรรยายถึงตำแหน่งทางการเมืองของโจทก์และอาชีพคือแพทย์ด้วยเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อ เสียงทั้งสองด้าน แม้โจทก์จะไม่ได้แยกค่าเสียหายที่ขอว่าจำนวนใดเป็นของด้านใด ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม การที่จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความซึ่งไม่เป็นความจริงที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงคมนาคมกลั่นแกล้งบริษัท บ. มิใช่การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต หรือติ ชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของบุคคลในฐานะเยี่ยงจำเลยพึงกระทำ แต่เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตาม ป.พ.พ.มาตรา 423.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการให้โดยเสน่หาเนื่องจากผู้รับมีพฤติกรรมเนรคุณและหมิ่นประมาทผู้ให้
โจทก์ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของจำเลยได้ยกที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หา โจทก์จึงเป็นผู้มีบุญคุณต่อจำเลยที่จำเลยพึงต้องเคารพเมื่อโจทก์ไปหาจำเลยเพื่อขอเงินมาใช้จ่ายส่วนตัวเพราะโจทก์ไม่มีเงิน จำเลยกลับขับไล่โจทก์ออกจากบ้านและพูดว่า "อีแก่อย่ามาหาอีก" การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงถือได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ถอนคืนการให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุหย่า: พฤติกรรมดูถูกเกลียดชัง, การทำร้ายร่างกาย, และการหมิ่นประมาทบุพการี - ไม่เพียงพอต่อการพิพากษาให้หย่า
จำเลยเป็นภรรยาโจทก์ การที่จำเลยไม่ยอมพูดกับโจทก์ หากมีเรื่องที่จะต้องปรึกษาหารือกันจำเลยจะเขียนจดหมายแทนการพูดกับโจทก์ก็เนื่องจากความผิดของโจทก์ที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงอื่นและทำร้ายร่างกายจำเลย ทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้บุตรได้ยินการทะเลาะกันระหว่างโจทก์กับจำเลย การกระทำของโจทก์เป็นเหตุอันสมควรที่จะทำให้จำเลยแสดงอาการดูถูกเกลียดชังโจทก์และไม่พูดคุยกับโจทก์ได้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่ว และถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่า มารดาของโจทก์เป็นลมเนื่องจากทะเลาะกับจำเลย เพราะจำเลยต้องการพาบุตรชายไปเที่ยวนอกบ้านแต่มารดาไม่ยอม เหตุดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามบุพการีโจทก์อย่างร้ายแรง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1034/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทจากการกล่าวหาตำรวจรับสินบน: การใส่ความที่ทำให้เสียชื่อเสียง
การที่จำเลยพูดว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นสารวัตรกำนันชอบพาตำรวจมาจับชาวบ้านและหากินกับตำรวจนั้น ผู้ที่ได้ยินได้ฟังย่อมเข้าใจความหมายไปในทางที่ว่าผู้เสียหายหาเหตุพาตำรวจมาจับชาวบ้าน และตำรวจเรียกร้องเอาเงินทองหรือผลประโยชน์อย่างอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนหรือตอบแทนกับการที่จะไม่ถูกดำเนินคดีในฐานความผิดที่ถูกจับกุมอันเป็นเรื่องตำรวจรับสินบนแล้วแบ่งเงินทองหรือผลประโยชน์ที่ได้รับมาให้แก่ผู้เสียหายผู้เสียหายจึงได้ชื่อว่าหากินกับตำรวจและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คำกล่าวของจำเลยย่อมจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำกล่าวที่ว่า ผู้เสียหายนามสกุลหมา ๆ นั้น เป็นแต่เพียงการดูหมิ่นเหยียดหยามเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นการใส่ความผู้เสียหายโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง.
of 86