พบผลลัพธ์ทั้งหมด 388 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องที่ไม่บรรยายองค์ประกอบความผิดครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ทำให้ฟ้องไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148โดยไม่ปรากฏรายละเอียดว่าให้ทรัพย์สินอะไรแก่ใครซึ่งเป็นสาระสำคัญของฟ้องที่จะต้องกล่าวถึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157โดยไม่มีข้อความว่าเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดตามมาตรานี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าจำเลยมีหน้าที่ทำเอกสารดูแลรักษาเอกสารรับเอกสารหรือมีหน้าที่กรอกข้อความลงในเอกสารซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161,162 จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา278,284 โดยไม่มีรายละเอียดว่ามีการขู่เข็ญหรือใช้กำลังประทุษร้ายหรือใช้อุบายหลอกลวงใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใดๆ จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา340 โดยไม่ได้บรรยายว่าการใช้กำลังประทุษร้ายของจำเลยดังกล่าวจำเลยกระทำอย่างใดเพื่อที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาและไม่ปรากฏว่า การใช้กำลังประทุษร้ายนั้นเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือพาเอาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 339อันเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3503/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร: การบรรยายฟ้องและองค์ประกอบความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี และมีข้อความในวงเล็บระบุถึงอายุของผู้เสียหายไว้ชัดเจนว่า ผู้เสียหายอายุ 14 ปีเศษ ไปเสียจากว. ซึ่งเป็นบิดาและผู้ปกครองเพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย ดังนี้ครบองค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์แล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หาเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่1 ได้กระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่หลายครั้งเป็นเพียงข้อประกอบเจตนาแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษโดยตรง โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 จึงไม่จำต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลา สถานที่และจำนวนครั้งที่จำเลยที่ 1 ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย และที่จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันหรือไม่ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา มิใช่ข้อสำคัญที่จะต้องกล่าวในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีลามกและการริบของกลาง: องค์ประกอบความผิดและทรัพย์สินที่ริบได้
แม้ศาลจะบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลย มีวีดีโอเทปภาพลามกไว้ในครอบครองเพื่อบริการแลกเปลี่ยนให้แก่ลูกค้าหรือสมาชิกด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า แต่บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยมีวิดีโอเทปภาพยนตร์ลามกไว้ในความครอบครองเพื่อบริการให้เช่าแลกเปลี่ยนแก่ลูกค้าหรือสมาชิก ด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า อันเป็นการบรรยายครบ องค์ประกอบความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา287(2) แล้ว เมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้องและบัญชีของกลางระบุว่าเงิน570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้องและบัญชีของกลางระบุว่าเงิน570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2999/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบของฟ้องอาญา: การบรรยายองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ขนส่งทางบก และการรับสารภาพของจำเลย
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า "เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2524 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ช.ม. 20-1034 วิ่งรับส่งคนโดยสารเพื่อสินจ้างประจำทางสายเวียงป่าเป้า - ดอยนางแก้ว อันเป็นการประกอบการขนส่งประจำทางโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ฯลฯ" นั้น เป็นการบรรยายถึงองค์ประกอบความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ฯ มาตรา 23 แล้วจึงเป็นฟ้องที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2999/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบของฟ้องอาญา: การบรรยายองค์ประกอบความผิดฐานประกอบการขนส่งประจำทางโดยไม่ได้รับอนุญาต
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า 'เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม2524 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ช.ม. 20-1034 วิ่งรับส่งคนโดยสารเพื่อสินจ้างประจำทางสายเวียงป่าเป้า-ดอยนางแก้ว อันเป็นการประกอบการขนส่งประจำทางโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ฯลฯ' นั้น เป็นการบรรยายถึงองค์ประกอบความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ฯมาตรา 23 แล้วจึงเป็นฟ้องที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์และการฉายภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องและขาดองค์ประกอบความผิด
บรรยายฟ้องว่าจำเลยนำฟิล์มภาพยนตร์ซึ่ง อ. และ ส. เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ออกฉายเรียกเก็บเงินในการค้าโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์และมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์ของผู้เสียหาย และเป็นการฉายภาพยนตร์โดยฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ไม่จำต้องบรรยายว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หมายถึงผู้ใดและภาพยนตร์ดังกล่าวสร้างขึ้นในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์เพราะเป็นข้อเท็จจริงในทางนำสืบ
ส. เป็นเพียงผู้เช่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จาก อ. จึงมิใช่เจ้าของลิขสิทธิ์และไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานละเมิดลิขสิทธิ์ และการที่ ส. ได้รับมอบอำนาจจาก อ. ให้ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แต่ ส. ไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมา ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์แทน อ. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมาจึงไม่มีอำนาจสอบสวนในข้อหาความผิดดังกล่าวซึ่งเป็นความผิด ยอมความได้ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ภาพยนตร์เรื่องใดได้รับอนุญาตจากกรมตำรวจให้นำออกฉายตามสถานที่มหรสพได้แล้ว ย่อมสามารถนำออกฉาย ณ สถานที่มหรสพใดได้ในภายหลังโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานอื่นใดซ้ำอีก
ส. เป็นเพียงผู้เช่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จาก อ. จึงมิใช่เจ้าของลิขสิทธิ์และไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานละเมิดลิขสิทธิ์ และการที่ ส. ได้รับมอบอำนาจจาก อ. ให้ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แต่ ส. ไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมา ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์แทน อ. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมาจึงไม่มีอำนาจสอบสวนในข้อหาความผิดดังกล่าวซึ่งเป็นความผิด ยอมความได้ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ภาพยนตร์เรื่องใดได้รับอนุญาตจากกรมตำรวจให้นำออกฉายตามสถานที่มหรสพได้แล้ว ย่อมสามารถนำออกฉาย ณ สถานที่มหรสพใดได้ในภายหลังโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานอื่นใดซ้ำอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2033/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องฐานบุกรุกต้องระบุเจตนาและองค์ประกอบความผิดชัดเจน มิฉะนั้นฟ้องไม่สมบูรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องในข้อหาฐานบุกรุกว่า จำเลยได้ใช้พลั่วขุดดินในลำรางซึ่งอยู่ติดกับที่นาของโจทก์ แล้วจำเลยเหวี่ยงดินที่ขุดเข้าไปในที่นาของโจทก์ และจำเลยได้ขนเอาหนามมากองไว้ในที่นาของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายทำนาไม่ได้ ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 เมื่ออ่านฟ้องโดยตลอดแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่นาของโจทก์โดยเจตนา เพื่อยึดถือการครอบครองที่นาของโจทก์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือจำเลยได้บุกรุกเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข คำฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาต้องระบุองค์ประกอบความผิดชัดเจนในแต่ละกระทง หากคำฟ้องไม่สมบูรณ์ ศาลไม่สามารถลงโทษได้
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 และพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2466 มาตรา 31 นั้นการมี เครื่องชั่งที่ผิดอัตราหรือไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของกฎหมายไว้ในความครอบครองจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อเป็นการมีไว้เพื่อใช้เอาเปรียบในการค้าหรือในกิจการดังที่กฎหมายระบุไว้เท่านั้น แต่คำฟ้องของโจทก์ในข้อหาฐานนี้โจทก์หาได้บรรยายถึงข้อความดังกล่าวนี้ไม่ ถึงแม้คำฟ้องตอนหลังจะมีข้อความว่า "จำเลยได้ใช้เครื่องชั่งดังกล่าวนี้ทำการชั่งสินค้าเบ็ดเตล็ดต่างๆ ขายในกิจการค้าอันต่อเนื่องกับผู้อื่นและในพาณิชกิจของจำเลย ฯลฯ" ก็ตามแต่คำบรรยายฟ้องตอนหลังนี้ก็เป็นการบรรยายถึงความผิดฐานใช้อีกข้อหาหนึ่ง การที่จะพิจารณาว่าคำฟ้องในความผิดฐานใดครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ต้องพิจารณาเป็นรายกระทงไม่ใช่พิจารณารวมกัน เมื่อคำบรรยายฟ้องในความผิดฐานมีไว้เพื่อใช้ซึ่งเครื่องชั่งที่ผิดกฎหมายขาดองค์ประกอบความผิดดังกล่าวแล้ว คำฟ้องสำหรับความผิดฐานนี้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานมีเครื่องชั่งผิดกฎหมายต้องมีเจตนาใช้เพื่อเอาเปรียบในการค้า คำฟ้องต้องระบุเจตนา
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 และพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2466 มาตรา 31 นั้น การมี เครื่องชั่งที่ผิดอัตราหรือไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของกฎหมายไว้ในความครอบครองจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อเป็นการมีไว้เพื่อใช้เอาเปรียบในการค้าหรือในกิจการดังที่กฎหมายระบุไว้เท่านั้น แต่คำฟ้องของโจทก์ในข้อหาฐานนี้โจทก์หาได้บรรยายถึงข้อความดังกล่าวนี้ไม่ ถึงแม้คำฟ้องตอนหลังจะมีข้อความว่า 'จำเลยได้ใช้เครื่องชั่งดังกล่าวนี้ทำการชั่งสินค้าเบ็ดเตล็ดต่างๆ ขายในกิจการค้าอันต่อเนื่องกับผู้อื่นและในพาณิชกิจของจำเลย ฯลฯ 'ก็ตามแต่คำบรรยายฟ้องตอนหลังนี้ก็เป็นการบรรยายถึงความผิดฐานใช้อีกข้อหาหนึ่ง การที่จะพิจารณาว่าคำฟ้องในความผิดฐานใดครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ต้องพิจารณาเป็นรายกระทงไม่ใช่พิจารณารวมกัน เมื่อคำบรรยายฟ้องในความผิดฐานมีไว้เพื่อใช้ซึ่งเครื่องชั่งที่ผิดกฎหมายขาดองค์ประกอบความผิดดังกล่าวแล้ว คำฟ้องสำหรับความผิดฐานนี้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4065/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฐานโกงเจ้าหนี้ต้องระบุชัดเจนว่าจำเลยรู้วันที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิทางศาล
โจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 แต่ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่า จำเลยได้โอนขายที่ดินตามโฉนดฉบับที่จำเลยนำไปมอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ โดยรู้อยู่ว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของตนได้ใช้สิทธิหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้ อันเป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)