พบผลลัพธ์ทั้งหมด 638 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนว่าหากพิจารณาใหม่แล้วมีโอกาสชนะคดี มิใช่เพียงกล่าวอ้างว่ามีโอกาส
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไร คงกล่าวแต่เพียงว่าถ้า มีการสืบพยานจำเลยแล้ว จำเลยก็มีทางชนะคดีได้เท่านั้น โดยไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า หากมีการพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนว่าหากสืบพยานแล้วจำเลยมีทางชนะคดีได้
จำเลยกล่าวในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เพียงว่า ถ้ามีการสืบพยานแล้ว จำเลยมีทางชนะคดีได้ มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาล เพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไร คำขอพิจารณาใหม่จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ศาลชอบที่จะยกคำขอให้พิจารณาของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6276/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดี และการไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลต้องไต่สวนเหตุผลที่ไม่มาศาลก่อน
การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาจะไม่มาศาลตามกำหนดนัดเพราะรถที่จำเลยที่ 1 ใช้เป็นพาหนะเดินทางมาศาลเกิดอุบัติเหตุอันเป็นเหตุสุดวิสัยมิอาจก้าวล่วงเสียได้ การที่ศาลว่าไม่มีเหตุสมควรจะไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่เห็นชอบด้วย เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องไต่สวนและหากได้ความว่าจำเลยที่ 1ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ ถือได้ว่าเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วว่า กรณีที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 นั้น มิใช่เพราะกรณีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนแต่เป็นเพราะจำเลยที่ 1ไม่มาตามกำหนดนัดอันเป็นการขาดนัดพิจารณา ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ หากเป็นความจริงก็ต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1โดยมิได้ระบุว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีฐานะเป็นโจทก์ตามฟ้องอุทธรณ์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความ จึงมิใช่คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 แต่เป็นการสั่งสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลตามกำหนดนัด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนตามคำร้องขอ เป็นการยกคำร้องขอตามมาตรา 156 วรรคสาม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิดำเนินการต่อไปได้แต่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 156 วรรคสี่หรือวรรคห้าเท่านั้น หรือหากเห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประการใดก็ย่อมอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 223 ประกอบด้วยมาตรา 229 จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ไม่ ทั้งไม่ใช่กรณีขาดนัดตามมาตรา 202 ซึ่งจะขอพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 209
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5834/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาใหม่ต้องระบุเหตุขาดนัดชัดเจน การไม่ดำเนินการยื่นขอเลื่อนคดีเป็นสาระสำคัญ
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองกล่าวเพียงว่า วันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยทั้งสองไม่มาศาลเพราะป่วยกะทันหัน และให้เสมียนทนายมาขอเลื่อนคดี แต่เสมียนทนายไม่ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีให้โดยไม่ทราบสาเหตุ (ซึ่งจำเลยจะนำเสมียนทนายนำสืบในชั้นพิจารณาต่อไป) และปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่หลังวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าว 3 เดือน น่าจะทราบเหตุที่เสมียนทนายไม่ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีให้แล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่กล่าวถึงสาเหตุที่เสมียนทนายไม่ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีให้ทั้งที่การมิได้ร้องขอเลื่อนคดีเป็นสาระสำคัญประการหนึ่งแห่งการขาดนัดพิจารณา คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองจึงเป็นคำขอที่มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่ได้ขาดนัดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4032/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องแสดงเหตุผลที่ชัดเจนและสมเหตุสมผลในการเลิกจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม โดยอ้างเหตุหลายประการรวมทั้งอ้างว่าจำเลยไม่อ้างเหตุแห่งการเลิกจ้างและไม่ได้บอกกล่าวให้โจทก์ทราบล่วงหน้าด้วย จำเลยให้การว่า ก่อนเลิกจ้างโจทก์ จำเลยได้บอกกล่าวให้โจทก์ทราบล่วงหน้าแล้ว ในคำบอกกล่าวได้ระบุชัดแจ้งว่าเหตุที่เลิกจ้างนั้นเนื่องจากโจทก์หย่อนสมรรถภาพในการทำงาน ดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะถือว่าโจทก์หย่อนสมรรถภาพตามที่จำเลย ให้การต่อสู้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นพิพาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยมิชอบ: ศาลฎีกายกคำร้อง เนื่องจากโจทก์มิได้แสดงเหตุผลว่าบ้านมิใช่ของผู้ร้อง
โจทก์มิได้กล่าวมาให้ชัดแจ้งว่าตามข้อเท็จจริงอย่างไรที่แสดงว่าบ้านพิพาทไม่ควรเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพราะเหตุใดจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้งในฎีกาศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้จากพยานหลักฐานว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง แล้วจึงกล่าวถึงปัญหาที่ผู้ร้องขายบ้านพิพาทให้แก่จำเลยตามข้อนำสืบของโจทก์จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยแล้วหรือไม่ตามข้อนำสืบของโจทก์อันเป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ออกหมายเรียกไต่สวนก่อนแล้ว และเหตุผลในการขออนุมัติอธิบดีกรมสรรพากร
เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนตามป.รัษฎากร มาตรา 19 โจทก์ได้มาให้ถ้อยคำและนำหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานจนเจ้าพนักงานประเมินได้ทราบข้อเท็จจริงถึงเงินสดและทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ ตลอดจนรายจ่ายของโจทก์แล้วนำไปคำนวณหาทรัพย์สินสุทธิปลายปีของแต่ละปี ตั้งแต่ พ.ศ.2515 ถึง พ.ศ.2520ต่อจากนั้นนำไปคำนวณหาทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของแต่ละปีเอาไปปรับปรุงคำนวณหาเงินได้สุทธิของแต่ละปีแล้ว เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าโจทก์ยื่นรายการเงินได้ต่ำกว่าจำนวนที่ควรต้องยื่น จึงได้ขออนุมัติอธิบดีกรมสรรพากรกำหนดจำนวนเงินได้สุทธิของโจทก์ขึ้น ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรก็ได้อนุมัติแล้ว เจ้าพนักงานประเมินจึงได้แจ้งจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระเพิ่มและเงินเพิ่มที่จะต้องชำระสำหรับปี พ.ศ.2517 พ.ศ.2519 และ พ.ศ.2520 ดังกล่าวไปให้โจทก์ทราบอันเป็นการปฏิบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.รัษฎากร มาตรา 49 แล้ว จึงเป็นการประเมินที่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกโจทก์ตาม ป.รัษฎากรมาตรา 19 แล้ว ต่อมาจึงได้ดำเนินการตาม ป.รัษฎากร มาตรา 49 ในการประเมินภาษีจากโจทก์ก็ตาม ก็ไม่ทำให้การประเมินที่ชอบดังวินิจฉัยแล้วกลายเป็นการประเมินที่ไม่ชอบขึ้นได้ เพราะ ป.รัษฎากร มาตรา 19 มิได้บัญญัติห้ามไว้ว่าเมื่อออกหมายเรียกไต่สวนตามมาตรา 19 แล้ว ห้ามมิให้ดำเนินการประเมินตามมาตรา 49
เหตุที่เจ้าพนักงานประเมินจะขออนุมัติอธิบดีกรมสรรพากรเพื่อให้ตนมีอำนาจกำหนดจำนวนเงินสุทธิขึ้นตาม ป.รัษฎากร มาตรา 49 นั้นนอกจากในกรณีที่ผู้มีเงินได้มิได้ยื่นรายการเงินได้แล้ว ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาเห็นว่า ผู้มีเงินได้ยื่นรายการเงินได้ต่ำกว่าจำนวนที่ควรต้องยื่นก็ขออนุมัติได้ด้วยดังที่กฎหมายมาตราดังกล่าวบัญญัติไว้ และในกรณีที่เจ้าพนักงาน-ประเมินพิจารณาเห็นว่า ผู้มีเงินได้ยื่นรายการเงินได้ต่ากว่าจำนวนที่ควรต้องยื่นนั้นเจ้าพนักงานประเมินจะได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวมาจากผู้มีเงินได้หรือจากบุคคลภายนอกก็นำมาเป็นเหตุในการขออนุมัติอธิบดีกรมสรรพากรเพื่อกำหนดจำนวนเงินได้สุทธิของผู้มีเงินได้ขึ้นได้ทั้งสิ้น
อุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่า ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุที่จะอ้างได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 19 การออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนจึงเป็นการไม่ชอบ กับที่อุทธรณ์ขอให้ศาลงดเงินเพิ่มทั้งหมดนั้น โจทก์มิได้อ้างเหตุตามข้ออุทธรณ์ไว้ในคำฟ้องและมิได้มีคำขอให้ศาลงดเงินเพิ่มแก่โจทก์มาในคำฟ้องปัญหาที่โจทก์ยกขึ้นอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น อีกทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
แม้เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกโจทก์ตาม ป.รัษฎากรมาตรา 19 แล้ว ต่อมาจึงได้ดำเนินการตาม ป.รัษฎากร มาตรา 49 ในการประเมินภาษีจากโจทก์ก็ตาม ก็ไม่ทำให้การประเมินที่ชอบดังวินิจฉัยแล้วกลายเป็นการประเมินที่ไม่ชอบขึ้นได้ เพราะ ป.รัษฎากร มาตรา 19 มิได้บัญญัติห้ามไว้ว่าเมื่อออกหมายเรียกไต่สวนตามมาตรา 19 แล้ว ห้ามมิให้ดำเนินการประเมินตามมาตรา 49
เหตุที่เจ้าพนักงานประเมินจะขออนุมัติอธิบดีกรมสรรพากรเพื่อให้ตนมีอำนาจกำหนดจำนวนเงินสุทธิขึ้นตาม ป.รัษฎากร มาตรา 49 นั้นนอกจากในกรณีที่ผู้มีเงินได้มิได้ยื่นรายการเงินได้แล้ว ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาเห็นว่า ผู้มีเงินได้ยื่นรายการเงินได้ต่ำกว่าจำนวนที่ควรต้องยื่นก็ขออนุมัติได้ด้วยดังที่กฎหมายมาตราดังกล่าวบัญญัติไว้ และในกรณีที่เจ้าพนักงาน-ประเมินพิจารณาเห็นว่า ผู้มีเงินได้ยื่นรายการเงินได้ต่ากว่าจำนวนที่ควรต้องยื่นนั้นเจ้าพนักงานประเมินจะได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวมาจากผู้มีเงินได้หรือจากบุคคลภายนอกก็นำมาเป็นเหตุในการขออนุมัติอธิบดีกรมสรรพากรเพื่อกำหนดจำนวนเงินได้สุทธิของผู้มีเงินได้ขึ้นได้ทั้งสิ้น
อุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่า ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุที่จะอ้างได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 19 การออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนจึงเป็นการไม่ชอบ กับที่อุทธรณ์ขอให้ศาลงดเงินเพิ่มทั้งหมดนั้น โจทก์มิได้อ้างเหตุตามข้ออุทธรณ์ไว้ในคำฟ้องและมิได้มีคำขอให้ศาลงดเงินเพิ่มแก่โจทก์มาในคำฟ้องปัญหาที่โจทก์ยกขึ้นอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น อีกทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต้องชัดเจนและมีเหตุผลตามกฎหมาย โดยเฉพาะการกล่าวอ้างเรื่องค่าใช้จ่ายและเจ้าหน้าที่ขัดขวาง
พระราชบัญญัติ ญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522หมวด 9 การคัดค้านการเลือกตั้ง บัญญัติไว้ในมาตรา 78 ว่า กรณีที่จะร้องคัดค้านการเลือกตั้งได้นั้นเฉพาะกรณีที่การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมีการฝ่าฝืนมาตรา 26 มาตรา 32 มาตรา 34 มาตรา 51 หรือมาตรา 52 เท่านั้น คำร้องของผู้ร้องได้กล่าวอ้างถึงการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 32 เรื่องที่ผู้ได้รับเลือกตั้งใช้เงินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ใช้เงินคนละกว่าสามล้านบาทโดยไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำนวนเงินที่แน่นอนของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ใช้นั้นเป็นเท่าใด คงใช้วิธีประมาณการเอาเท่านั้นและมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่าเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องใดเท่าใด จ่ายไปเมื่อใด ให้แก่ใคร ส่วนที่กล่าวไว้ว่าใช้การซื้อเสียงด้วยเงินก็ไม่กล่าวว่าซื้อเสียงใคร จำนวนมากน้อยเท่าใดสิ้นเงินไปในการนี้เท่าใด ได้จ่ายไปก่อนหรือหลังจากมีการสมัครรับเลือกตั้งข้อกล่าวอ้างตามคำร้องจึงไม่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาพอที่จะให้ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ซึ่งถูกกล่าวหาเข้าใจได้ดีพอที่จะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง นอกจากนั้นในคำร้องก็มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงเป็นการยืนยันให้เห็นว่า การจ่ายเงินจำนวนที่ผู้ร้องประมาณการมานั้นเป็นการใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งคงกล่าวแต่เพียงว่าใช้เงินคนละกว่าสามล้านบาทเท่านั้น คำร้องของผู้ร้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุมสำหรับข้ออ้างเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งตามมาตรา 52 ผู้ร้องกล่าวในคำร้องแต่เพียงว่า ในวันเลือกตั้งปรากฏว่าที่หน่วยเลือกตั้งบางหน่วย เช่น หน่วยเลือกตั้งบ้านโคกกระดี่อำเภอตาคลี กรรมการควบคุมการเลือกตั้งได้ช่วยกากากบาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 โดยไม่ได้กล่าวว่ากรรมการควบคุมการเลือกตั้งที่กระทำการดังที่อ้างนั้นเป็นใคร จำนวนคะแนนที่อ้างว่า กากบาทให้นั้นเป็นจำนวนเท่าใด จะทำให้ผลของการเลือกตั้งเปลี่ยนไปหรือไม่ ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องไม่อาจเข้าใจได้ว่าเจ้าพนักงานคนใดกระทำอย่างนั้น ผู้คัดค้านที่ 3 ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งไม่อาจเข้าใจข้อหาและต่อสู้ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องได้ถูกต้อง คำร้องของผู้ร้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม เมื่อคำร้องของผู้ร้องเป็นคำร้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของผู้ร้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 จึงไม่อาจพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องนำสืบมาในเหตุอ้างสองประการดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนว่าคำพิพากษาไม่ชอบอย่างไร และมีเหตุผลที่หากพิจารณาใหม่แล้วอาจชนะคดีได้
คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของโจทก์กล่าวอ้างแต่เพียงว่า หากโจทก์ได้นำพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบ โจทก์มีทางชนะคดีได้เพราะโจทก์ได้เตรียมคดี พยานหลักฐานไว้พร้อมแล้วเท่านั้นข้อความดังกล่าวไม่ได้แสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่า คำพิพากษาไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ทั้งยังไม่มีเหตุผลที่จะแสดงให้เห็นว่าหากมีการพิจารณาคดีใหม่แล้ว โจทก์อาจชนะคดีอย่างไรบ้าง จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคท้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2293/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุโจทก์ไม่ได้ยกเหตุผลโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพียงกล่าวอ้างไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้น
ฎีกาของโจทก์มิได้ยกเหตุผลขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบในข้อไหน อย่างไร คงกล่าวอ้างเพียงว่าโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วเท้าความถึงการพิจารณาในศาลชั้นต้นนับแต่โจทก์ยื่นคำฟ้องจนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้อง และว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้นว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ และให้รับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายโดยชัดแจ้งในฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก