พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9514/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทครอบคลุมความรับผิดทั้งโจทก์และจำเลย ศาลไม่เปลี่ยนแปลงประเด็นเดิม
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าโจทก์ผิดสัญญาจ้างทำของตามฟ้องเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองเสียหายตามฟ้องแย้งหรือไม่ซึ่งมีความหมายครอบคลุมถึงข้อความที่ว่า1.โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา2.จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่เพียงใดและ3.โจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยทั้งสองตามฟ้องแย้งหรือไม่เพียงใดอันเป็นข้อความที่จำเลยทั้งสองประสงค์ให้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมแล้วจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงแก้ไขประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นตัวแทนเชิดต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ แม้โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษร จำเลยไม่อาจอ้างการชำระหนี้แทนได้
การเป็นตัวแทนเชิดหาจำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการเป็นตัวแทนไม่ แม้ ส.ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่า ส.เป็นตัวแทนของโจทก์ จำเลยก็อาจอ้างได้ว่า ส.เป็นตัวแทนเชิดของโจทก์รับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยวินิจฉัยว่า ส.ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่า ส.เป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยไม่อาจอ้างได้ว่า ส.เป็นตัวแทนรับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ข้ออื่นอีก จึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142ประกอบด้วยมาตรา 246
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกา และต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่เมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานกันมาแล้ว ศาลฎีกาจึงชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกา และต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่เมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานกันมาแล้ว ศาลฎีกาจึงชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9159/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลและการจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ไม่ดำเนินคดีต่อ
ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมศาล ศาลจะคืนให้ได้ต้องเป็นกรณีที่ระบุไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 151 ส่วนการจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงนั้น ถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ซึ่งเป็นความผิดพลาดของโจทก์เองศาลจึงจำหน่ายคดีตามมาตรา 198 วรรคสอง โดยไม่สั่งคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9159/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลและการจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาล ศาลไม่คืนค่าขึ้นศาล
ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมศาลศาลจะคืนให้ได้ต้องเป็นกรณีที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา151ส่วนการจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงนั้นถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปซึ่งเป็นความผิดพลาดของโจทก์เองศาลจึงจำหน่ายคดีตามมาตรา198วรรคสองโดยไม่สั่งคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันตัวผู้ถูกเนรเทศ: อำนาจฟ้องของโจทก์และการบังคับตามสัญญา
จำเลยทำสัญญาประกันผู้ถูกสั่งเนรเทศทั้งสี่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ออกคำสั่งให้เนรเทศตามพระราชบัญญัติการสั่งเนรเทศฯมาตรา6วรรคหนึ่งและอยู่ในความควบคุมของโจทก์จนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้เนรเทศโดยกำหนดความรับผิดของจำเลยไว้ว่าหากไม่สามารถส่งตัวผู้ถูกสั่งเนรเทศทั้งสี่ให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัดได้จำเลยยอมให้ปรับตามสัญญาเป็นการกำหนดความรับผิดทางแพ่งไว้สัญญาประกันจึงใช้บังคับได้และไม่ใช่การประกันตามมาตรา6วรรคสามซึ่งเป็นการประกันต่อรัฐมนตรีตามคำสั่งผ่อนผันให้ส่งตัวผู้ถูกสั่งเนรเทศไปประกอบอาชีพณที่ใดๆตามคำร้องขอของผู้ถูกสั่งเนรเทศ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าที่ดินเป็นของตน ไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดิน ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ เท่ากับอ้างว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองหรืออีกนัยหนึ่งที่ดินเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ดินดังกล่าวไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังนั้น โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบ ให้ได้ความว่าที่ดินเป็นของโจทก์ และโดยที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โจทก์ได้ครอบครองที่ดินอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1369 เพราะโจทก์จะยกเอาการครอบครองขึ้นยันต่อรัฐได้ต่อเมื่อโจทก์ได้สิทธิครอบครองมาโดยชอบตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด และกฎหมายบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองนั้นไว้ด้วย โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7173/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่ความ ศาลตัดสินให้แบ่งทรัพย์สินให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง
ทั้ง 3 รายการ เฉพาะส่วนของโจทก์และจำเลยให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6257/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมขนส่ง: จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์หากมิได้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย
แม้จำเลยจะต้องรับผิดร่วมกันกับโจทก์ในความสูญหายหรือบุบสลายต่อผู้ส่งหรือผู้รับตราส่งซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 616 และมาตรา 618 แต่ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นผู้ร่วมขนส่งด้วยกันจะมีความรับผิดต่อกันหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าจำเลยมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วยหรือไม่เมื่อจำเลยมิได้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าที่จำเลยร่วมทำการขนส่งกับโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ความรับผิดของลูกหนี้ร่วมตามมาตรา296 ที่บัญญัติให้ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นนั้นจะบังคับแก่กรณีนี้ได้ต่อเมื่อลูกหนี้ร่วมแต่ละคนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นในการร่วมกันขนส่งเท่านั้น
การที่โจทก์ฎีกาว่า ความเสียหายเกิดขึ้นในระหว่างการขนส่งทอดแรกโดยจำเลยนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิได้ยกข้อนี้ขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์แม้ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกข้อนี้ขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
การที่โจทก์ฎีกาว่า ความเสียหายเกิดขึ้นในระหว่างการขนส่งทอดแรกโดยจำเลยนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิได้ยกข้อนี้ขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์แม้ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกข้อนี้ขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6223-6224/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าฤชาธรรมเนียมต้องแยกสำนวนคดี หากโจทก์ไม่ได้เป็นคู่ความในสำนวนแรก
คดีสองสำนวนที่รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันเมื่อสำนวนคดีแรกโจทก์ที่2มิได้เป็นคู่ความที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ที่2ร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมกับโจทก์ที่1ทั้งสองสำนวนโดยไม่แยกเป็นรายสำนวนจึงไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6053/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเฉพาะจำเลยรายบุคคล เมื่อโจทก์ไม่ดำเนินคดีต่อ
คดีที่มีจำเลยหลายคน เหตุที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความเพราะถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปตาม ป.วิ.พ.มาตรา 198 วรรค 2 ไม่จำต้องเกิดขึ้นแก่จำเลยทุกคนในคดีเสมอไป กรณีอาจเกิดขึ้นแก่จำเลยเป็นรายบุคคลก็ได้ ในกรณีที่เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นแก่จำเลยในคดีเป็นรายบุคคล ศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยรายที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดเวลาดังกล่าวเท่านั้น เพราะถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยรายนั้นต่อไป ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีทั้งคดีออกเสียจากสารบบความหาได้ไม่