คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โทษจำคุก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 507 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีป่าไม้: การบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนและโทษจำคุกต่ำกว่าขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีไม้ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง ปรากฎว่าโจทก์บรรยายการกระทำผิด ในข้อหานี้มาในคำฟ้อง แต่ในคำขอท้าย ฟ้องโจทก์มิได้อ้างบท มาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484ซึ่งบัญญัติ ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ฉะนั้นจะถือว่าโจทก์ ได้ขอให้ลงโทษในข้อหามีไม้ยังมิได้แปรรูปไวในครอบครองแล้วได้ไม่ กรณีจึงต้องยกฟ้องข้อหานี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 เดือน ฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้ รับอนุญาต เมื่อพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 48,73 วรรคสอง มีอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำ 1 ปีที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาจึงเป็นการลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ และฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้น ศาลฎีกาลงโทษจำคุก จำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4905/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาอำนาจอุทธรณ์คดีอาญาตามมาตรา 193 ทวิ ต้องดูที่โทษตามที่โจทก์ขอลงโทษ
คำฟ้องโจทก์บรรยายชัดว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352,353,354,83 ซึ่งความผิดตามมาตรา 354,83 นั้นมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และการพิจารณาว่าคดีอาญาเรื่องใดต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ หรือไม่ ย่อมต้องดูที่อัตราโทษตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติที่โจทก์ขอให้ลงโทษเป็นสำคัญ ส่วนอัตราโทษที่ศาลจะนำมาใช้จริง หาใช่ข้อที่จะนำมาพิจารณาในชั้นนี้ไม่ อุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4715/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า vs. บันดาลโทสะ: การพิจารณาโทษจำคุกจากการทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย
จำเลยใช้มีดของกลางแทงไปที่กลางหน้าอกของผู้ตาย ซึ่งมีอวัยวะสำคัญอยู่ภายในอย่างแรง แม้แทงเพียงครั้งเดียว แต่จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ผู้ตายกับจำเลยด่ากันโดยใช้ถ้อยคำหยาบคายเป็นประจำทุกวันแม้ในวันเกิดเหตุผู้ตายด่าจำเลยว่า "ไอ้หน้าหีหน้าแตด ไม่ช่วยทำมาหากิน" ก็เป็นเพียงการกล่าวถ้อยคำหยาบคายตามปกติ ทั้งขณะเกิดเหตุเพื่อนบ้านที่ร่วมดื่มสุรากับจำเลยก็กลับไปแล้ว คำกล่าวของผู้ตายจึงไม่ได้ทำให้จำเลยต้องอับอายขายหน้าบุคคลอื่น จะถือว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมไม่ได้ การที่จำเลยแทงผู้ตายจึงไม่ใช่เพราะเหตุบันดาลโทสะ หากแต่เป็นเพราะจำเลยโกรธเคืองที่ผู้ตายด่าว่าจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2469/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถชนกัน ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ศาลแก้ไขโทษจำคุกให้เหมาะสม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองขับรถยนต์ชนกันโดยประมาททำให้ผู้โดยสารในรถถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาเมื่อศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองประมาท แต่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 2 หนักเกินไป เห็นควรแก้ไขให้เหมาะสม และเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากความประมาทของจำเลยทั้งสองเป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งอันเดียวกัน และหลังเกิดเหตุฝ่ายจำเลยที่ 1 ได้นำเงินไปช่วยเป็นค่าปลงศพและค่ามนุษยธรรมแก่ฝ่ายผู้เสียหาย ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาโดยกำหนดโทษให้เบาลงอีกไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษจำคุกโดยไม่สืบพยาน เมื่อจำเลยรับสารภาพ และโทษไม่มีอัตราขั้นต่ำ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคแรกถือเอาอัตราโทษอย่างต่ำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เป็นเกณฑ์ที่ศาลจะต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ คดีนี้มีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท โดยไม่มีอัตราโทษอย่างต่ำ การที่ศาลลงโทษจำคุก 6 ปี ลดแล้วเหลือ 3 ปี เป็นกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษที่จำเลยจะต้องรับ มิใช่เป็นโทษที่กฎหมายกำหนดว่าจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องสืบพยานโจทก์ ศาลลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ไม่เข้าหลักเกณฑ์จะรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษจำคุกสำหรับผู้กระทำความผิดพยายามชิงทรัพย์ โดยคำนึงถึงอายุ ประวัติ และพฤติการณ์แห่งคดี
จำเลยกระทำผิดฐานพยายามชิงทรัพย์โดยใช้ผ้าชุบน้ำยาอีเทอร์ปิดจมูกผู้เสียหาย เพื่อทำให้ผู้เสียหายหมดสติ และผลักผู้เสียหายกระแทกถูกผนังห้องน้ำจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บท้ายทอยบวม โดยประสงค์จะเอานาฬิกาข้อมือ 1 เรือนและสร้อยข้อมือทองคำหนัก 1 สลึงของผู้เสียหายที่ใส่ติดตัวอยู่ไป แต่มีผู้มาช่วยเหลือ จำเลยจึงเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปไม่ได้ ดังนี้ แม้พฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยจะร้ายแรง แต่ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุเพียง19 ปี ไม่ปรากฏประวัติและความประพฤติที่เสียหาย คงได้ความเพียงว่าจำเลยไม่สนใจศึกษาเล่าเรียน จนสถานศึกษาที่จำเลยศึกษาอยู่ให้จำเลยพ้นสภาพจากการเป็นนักศึกษาเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลย 8 ปี ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 ปี จึงเหมาะสมแก่รูปคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138,140 วรรคสอง,309 วรรคสอง กระทงหนึ่ง และมีความผิดตามมาตรา 142 อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 วรรคสอง จำคุกคนละ 3 ปี และลงโทษตามมาตรา 142 จำคุกคนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง,140 วรรคแรก ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 140 วรรคแรก จำคุกคนละ 1 ปี รวมกับโทษฐานอื่นแล้วคงจำคุกคนละ 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งหมายความว่าความผิดกระทงแรกศาลอุทธรณ์ภาค 2ยังคงปรับบทลงโทษตามมาตรา 309 วรรคสอง ด้วย และความผิดกระทงหลังก็ยังคงปรับบทลงโทษและกำหนดโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ความผิดกระทงแรกศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองเท่านั้น ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาระบุวรรคและแก้วรรคมาด้วยนั้น เป็นการระบุเพื่อให้ชัดเจนแก้ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น มิได้แก้บทมาตราที่ลงโทษแต่อย่างไรคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อโทษที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 วางมาแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปีคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขบทมาตราโดยศาลอุทธรณ์ที่ไม่ส่งผลต่อโทษจำคุก ทำให้จำเลยไม่สามารถฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 จำคุก4 ปี และริบของกลาง ศาลอุทธรณ์แก้ เฉพาะบทกฎหมายที่ลงโทษจำเลยเป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. 288,80 ส่วนโทษจำคุกยังคงเท่ากับที่ศาลชั้นต้นกำหนดดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 และการแก้ไขโทษให้ถูกต้อง
การนำโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดี ก่อน 2 คดีซึ่งพิพากษาให้จำคุก 3 เดือนและ 9 เดือนที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษจำคุก 10 ปีของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้รวมเป็นจำคุก 11 ปี เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสองบัญญัติว่า ถ้าระยะเวลาที่คำนวณนั้นกำหนดเป็นเดือนให้นับ 30 วันเป็น 1 เดือน ถ้ากำหนดเป็นปีให้คำนวณตามปีปฏิทินในราชการดังนั้นการนับจำนวนวันใน 1 เดือนเท่ากับ 30 วัน กำหนดโทษจำคุก12 เดือนคิดเป็นจำนวนวันเท่ากับ 360 วัน แต่การนับจำนวนวันใน 1 ปีเท่ากับ 365 วันหรือ 366 วันจึงมากกว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร-ละเลยความรับผิดชอบ-สร้างความเสียหาย-ศาลฎีกายืนโทษจำคุก
การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปจากมารดาและร่วมประเวณีกับผู้เสียหายหากจำเลยมีเจตนาที่จะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภริยาจริง เมื่อผู้เสียหายตั้งครรภ์จำเลยก็น่าจะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูผู้เสียหาย แต่จำเลยกลับปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบ เมื่อถูกดำเนินคดีจำเลยก็มิได้มีความสำนึกในความรับผิดกลับต่อสู้คดีเบิกความถึงผู้เสียหายว่าเคยมีความสัมพันธ์กับชายอื่นมาแล้วถึงสองคนเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายมากขึ้น แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะอายุ 19 ปีเศษ และไม่เคยกระทำผิดมาก่อน แต่จำเลยเรียนหนังสือในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ย่อมจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยหาได้มีความสำนึกในความผิดของตนไม่กรณีจึงไม่มีเหตุอันควรปรานี สมควรให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ.
of 51