พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องข้อหาครอบครอง/พกพาอาวุธปืน หากพยานหลักฐานไม่พอรับฟังการกระทำความผิดฐานฆ่า
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายกระทงหนึ่ง ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตกระทงหนึ่ง และฐานพาอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง แม้ข้อหาฐานมีและพาอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตนั้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ก็ตาม เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การกระทำในฐานะผู้ถือหุ้นไม่เป็นเหตุเลิกจ้าง ศาลฎีกายืนตามศาลแรงงานกลาง
การที่โจทก์กับพวกฟ้อง ป. กรรมการผู้จัดการของจำเลยกับพวกและโจทก์เบิกความชั้นไต่สวนคำร้องเพื่อขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวเป็นกรณีที่โจทก์กระทำในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยเพื่อรักษาสิทธิหรือประโยชน์ของบริษัทจำเลยมิใช่กระทำในฐานะที่เป็นลูกจ้าง การที่โจทก์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นฟ้อง ป. กับพวกซึ่งเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นเช่นเดียวกับโจทก์ ถือไม่ได้ว่า ป. กับพวกอยู่ในฐานะที่เป็นนายจ้างของโจทก์ จำเลยจะนำเหตุนี้เป็นข้ออ้างเลิกจ้างโจทก์หาได้ไม่
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ พ.ศ.2522 มาตรา 49 ให้อำนาจศาลที่จะวินิจฉัยว่าลูกจ้างกับนายจ้างสามารถร่วมกันทำงานต่อไปได้หรือไม่ โดยคำนึงถึงสภาพของสถานประกอบการและความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ถ้าเห็นว่าพอทำงานร่วมกันต่อไปได้ ก็จะสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานถ้าเห็นว่าไม่อาจร่วมกันทำงานต่อไปได้ก็จะกำหนดให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแทนการบังคับให้รับกลับเข้าทำงาน เมื่อคดีได้ความว่าโจทก์กับกรรมการบริษัทจำเลยเป็นพี่น้อง กัน การที่ศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจพิจารณาถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยสามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ และสั่งให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน จึงไม่ใช่การวินิจฉัยคดีโดยไม่มีข้อเท็จจริง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ พ.ศ.2522 มาตรา 49 ให้อำนาจศาลที่จะวินิจฉัยว่าลูกจ้างกับนายจ้างสามารถร่วมกันทำงานต่อไปได้หรือไม่ โดยคำนึงถึงสภาพของสถานประกอบการและความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ถ้าเห็นว่าพอทำงานร่วมกันต่อไปได้ ก็จะสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานถ้าเห็นว่าไม่อาจร่วมกันทำงานต่อไปได้ก็จะกำหนดให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแทนการบังคับให้รับกลับเข้าทำงาน เมื่อคดีได้ความว่าโจทก์กับกรรมการบริษัทจำเลยเป็นพี่น้อง กัน การที่ศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจพิจารณาถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยสามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ และสั่งให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน จึงไม่ใช่การวินิจฉัยคดีโดยไม่มีข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ของกลางในคดีป่าไม้: ศาลฎีกาตัดสินว่าการครอบครองของป่าเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตราที่บัญญัติถึงการริบ
การริบทรัพย์สินอันเนื่องจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมีบัญญัติไว้ในมาตรา74และมาตรา74ทวิ
ยานพาหนะซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิดหรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา11,48,54หรือ69มีบัญญัติไว้ในมาตรา74ทวิ
การมีเปลือกไม้สีเสียดอันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนดอันมิใช่การกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา11,48,54และ69รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา74ทวิทั้งจะริบรถยนต์ของกลางตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา33ก็ไม่ได้เพราะรถยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ซึ่งจำเลยได้ใช้หรือไม้ไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดความผิดของจำเลยอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น
ยานพาหนะซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิดหรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา11,48,54หรือ69มีบัญญัติไว้ในมาตรา74ทวิ
การมีเปลือกไม้สีเสียดอันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนดอันมิใช่การกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา11,48,54และ69รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา74ทวิทั้งจะริบรถยนต์ของกลางตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา33ก็ไม่ได้เพราะรถยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ซึ่งจำเลยได้ใช้หรือไม้ไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดความผิดของจำเลยอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบขัดแย้งกับคำให้การเดิม และการละเมิดสิทธิในที่ดิน ศาลฎีกาพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้จึงตกลงยกที่พิพาทตีใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์แต่กลับนำสืบว่า จำเลยที่ 2 ขายฝากที่พิพาทไว้กับพ่อตาโจทก์และให้โจทก์กับภรรยาไปไถ่ถอนคืน แล้วจำเลยที่ 2 ยกที่พิพาทให้โจทก์ การนำสืบของโจทก์จึงขัดกับประเด็นข้อต่อสู้ของโจทก์ เป็นการนำสืบนอกประเด็นและรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (1) และเมื่อคดีฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยแล้ว การที่โจทก์เข้าแย่งทำนาในที่พิพาทย่อมเป็นการละเมิดต่อจำเลยชอบที่จำเลยทั้งสองจะฟ้องเรียกร้องให้โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้
คำให้การแก้ฟ้องแย้งที่โจทก์มอบให้ทนายความยื่นนั้นถือเสมือนว่าโจทก์เป็นผู้ยื่นด้วยตนเอง จึงย่อมผูกพันโจทก์โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าทนายความของโจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งไม่ตรงตามความจริงโดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง
คำให้การแก้ฟ้องแย้งที่โจทก์มอบให้ทนายความยื่นนั้นถือเสมือนว่าโจทก์เป็นผู้ยื่นด้วยตนเอง จึงย่อมผูกพันโจทก์โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าทนายความของโจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งไม่ตรงตามความจริงโดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบขัดแย้งกับคำให้การเดิม, การละเมิด, และการเพิกถอน น.ส.3ก. ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นความรับผิดทางแพ่ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้จึงตกลงยกที่พิพาทตีใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ แต่กลับนำสืบว่า จำเลยที่ 2 ขายฝากที่พิพาทไว้กับพ่อตาโจทก์และให้โจทก์กับภรรยาไปไถ่ถอนคืน แล้วจำเลยที่ 2 ยกที่พิพาทให้โจทก์ การนำสืบของโจทก์จึงขัดกับประเด็นข้อต่อสู้ของโจทก์ เป็นการนำสืบนอกประเด็นและรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(1)และเมื่อคดีฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยแล้ว การที่โจทก์เข้าแย่งทำนาในที่พิพาทย่อมเป็นการละเมิดต่อจำเลยชอบที่จำเลยทั้งสองจะฟ้องเรียกร้องให้โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ คำให้การแก้ฟ้องแย้งที่โจทก์มอบให้ทนายความยื่นนั้น ถือเสมือนว่าโจทก์เป็นผู้ยื่นด้วยตนเอง จึงย่อมผูกพันโจทก์โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าทนายความของโจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งไม่ตรงตามความจริงโดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยบันดาลโทสะและการทำร้ายร่างกาย: ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าโดยบันดาลโทสะ และยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นสำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตีผู้ตายได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295ดังนี้ เป็นเรื่องเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 หาใช่เหตุลักษณะคดีไม่ เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่อุทธรณ์ คดีเฉพาะจำเลยที่ 2 จึงต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยามิได้จดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 แล้วใช้ขวานฟันจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 แย่งขวานได้ก็เหวี่ยงทิ้ง ผู้ตายยังติดตามจะทำร้ายจำเลยทั้งสองซ้ำอีก ดังนี้ การกระทำของผู้ตายจึงเป็นการข่มเหงจำเลยทั้งสองอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ยิงและตีผู้ตายผู้ข่มเหงในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ หาใช่เพื่อป้องกันไม่ศาลฎีการับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 74/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุคคลวิกลจริต-การตั้งผู้อนุบาล: ศาลฎีกาชี้ขาดตามอาการทางแพทย์
คำว่า บุคคลวิกลจริต ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 29 นั้น มิได้หมายเฉพาะถึงบุคคลผู้มีจิตผิดปกติหรือตามที่เข้าใจกันทั่วๆ ไปว่าเป็นบ้า เท่านั้นไม่ แต่หมายรวมถึงบุคคลที่มีกิริยาอาการผิดปกติเพราะสติวิปลาส คือ ขาดความรำลึก ขาดความรู้สึก และขาดความรับผิดชอบด้วย เพราะบุคคลดังกล่าวนี้ไม่สามารถประกอบกิจการของตนหรือประกอบกิจส่วนตัวของตนได้ทีเดียว
มารดาผู้ร้องและผู้คัดค้านมีอาการไม่รู้สึกตัวเอง ไม่รู้จักสถานที่และเวลาพูดจารู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ซึ่งนายแพทย์เรียกอาการเช่นนี้ว่า สมองเสื่อมหรือวิกลจริตและไม่มีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้ ทั้งเดินทางไปไหนไม่ได้อีกด้วย แสดงให้เห็นว่ามารดาผู้ร้องเป็นคนไม่มีสติสัมปชัญญะ ไร้ความสามารถที่จะดำเนินการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองได้ พอถือได้ว่าเป็นบุคคลวิกลจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 29 แล้ว(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 490/2509 ประชุมใหญ่)
มารดาผู้ร้องและผู้คัดค้านมีอาการไม่รู้สึกตัวเอง ไม่รู้จักสถานที่และเวลาพูดจารู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ซึ่งนายแพทย์เรียกอาการเช่นนี้ว่า สมองเสื่อมหรือวิกลจริตและไม่มีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้ ทั้งเดินทางไปไหนไม่ได้อีกด้วย แสดงให้เห็นว่ามารดาผู้ร้องเป็นคนไม่มีสติสัมปชัญญะ ไร้ความสามารถที่จะดำเนินการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองได้ พอถือได้ว่าเป็นบุคคลวิกลจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 29 แล้ว(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 490/2509 ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 74/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุคคลวิกลจริตและการตั้งผู้อนุบาล: ศาลฎีกาชี้ขาดกรณีผู้สูงอายุสมองเสื่อม
คำว่า บุคคลวิกลจริต ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 นั้น มิได้หมายเฉพาะถึงบุคคลผู้มีจิตผิดปกติหรือตามที่เข้าใจกันทั่วๆ ไปว่าเป็นบ้า เท่านั้นไม่ แต่หมายรวมถึงบุคคลที่มีกิริยาอาการผิดปกติเพราะสติวิปลาส คือ ขาดความรำลึก ขาดความรู้สึกและขาดความรับผิดชอบด้วย เพราะบุคคลดังกล่าวนี้ไม่สามารถประกอบกิจการของตนหรือประกอบกิจส่วนตัวของตนได้ทีเดียว
มารดาผู้ร้องและผู้คัดค้านมีอาการไม่รู้สึกตัวเอง ไม่รู้จักสถานที่และเวลาพูดจารู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างซึ่งนายแพทย์เรียกอาการเช่นนี้ว่า สมองเสื่อมหรือวิกลจริตและไม่มีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้ ทั้งเดินทางไปไหนไม่ได้อีกด้วย แสดงให้เห็นว่ามารดาผู้ร้องเป็นคนไม่มีสติสัมปชัญญะ ไร้ความสามารถที่จะดำเนินการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองได้ พอถือได้ว่าเป็นบุคคลวิกลจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 แล้ว(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 490/2509 ประชุมใหญ่)
มารดาผู้ร้องและผู้คัดค้านมีอาการไม่รู้สึกตัวเอง ไม่รู้จักสถานที่และเวลาพูดจารู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างซึ่งนายแพทย์เรียกอาการเช่นนี้ว่า สมองเสื่อมหรือวิกลจริตและไม่มีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้ ทั้งเดินทางไปไหนไม่ได้อีกด้วย แสดงให้เห็นว่ามารดาผู้ร้องเป็นคนไม่มีสติสัมปชัญญะ ไร้ความสามารถที่จะดำเนินการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองได้ พอถือได้ว่าเป็นบุคคลวิกลจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 แล้ว(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 490/2509 ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3800/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำว่า 'ไอ้ห่า' เป็นคำด่าดูหมิ่นซึ่งหน้าได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยตามความหมายพจนานุกรม
ตามพจนานุกรมให้ความหมายของคำว่า 'ห่า' ไว้ว่า เป็นชื่อผีจำพวกหนึ่ง ถือกันว่าทำให้เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง เมื่อจำเลยนำคำว่า'ไอ้ห่า' มาใช้เป็นคำด่าโจทก์ จึงเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้า มิใช่เป็นเพียงใช้คำไม่สุภาพ ผรุสวาจาหรือคำอุทาน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2220/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3800/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำว่า 'ไอ้ห่า' เป็นคำดูหมิ่นซึ่งหน้าได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยตามพจนานุกรมและความหมายที่ใช้ในการด่า
ตามพจนานุกรมให้ความหมายของคำว่า 'ห่า' ไว้ว่า เป็นชื่อผีจำพวกหนึ่งถือกันว่าทำให้เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง เมื่อจำเลยนำคำว่า'ไอ้ห่า' มาใช้เป็นคำด่าโจทก์ จึงเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้า มิใช่เป็นเพียงใช้คำไม่สุภาพผรุสวาจาหรือคำอุทาน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2220/2518)