คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องคดีอาญา: อำนาจโจทก์และผลกระทบต่อจำเลย – สถานที่เกิดเหตุเป็นรายละเอียดที่แก้ไขได้
คดีที่โจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุมาในฟ้องผิดตำบล. ต่อมาก่อนที่จะเสร็จการสืบพยานจำเลย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องให้ตรงกับความเป็นจริง. ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจกระทำได้เพราะสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำความผิดเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องแถลงในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158. ฉะนั้น จึงไม่ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาเนื่องจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเดียวกัน และประเด็นการโอนคดีที่ยุติแล้ว
ภรรยาผู้ตายเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานฆ่าสามีตายโดยเจตนาซึ่งศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องไว้แล้ว ในระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโจทก์ ผู้ว่าคดีได้ยื่นฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายสามีโจทก์ในมูลกรณีเดียวกัน ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด เช่นนี้ สิทธิของโจทก์ที่ได้ฟ้องคดีไว้แล้วย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
โจทก์ยื่นคำร้องขอโอนคดีจากศาลหนึ่งไปยังอีกศาลหนึ่ง.ศาลมีคำสั่งว่าไม่มีอำนาจ ให้ยกคำร้องโจทก์ โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านอย่างใด แม้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มิได้ยกเรื่องการโอนคดีขึ้นว่ากล่าวคัดค้าน จึงทำให้ประเด็นข้อนี้ยุติ โจทก์จะกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาเนื่องจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเดียวกัน และประเด็นการโอนคดีที่ยุติแล้ว
ภรรยาผู้ตายเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานฆ่าสามีตายโดยเจตนาซึ่งศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องไว้แล้ว. ในระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโจทก์ ผู้ว่าคดีได้ยื่นฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายสามีโจทก์ในมูลกรณีเดียวกัน. ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด. เช่นนี้ สิทธิของโจทก์ที่ได้ฟ้องคดีไว้แล้วย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4).
โจทก์ยื่นคำร้องขอโอนคดีจากศาลหนึ่งไปยังอีกศาลหนึ่ง.ศาลมีคำสั่งว่าไม่มีอำนาจ ให้ยกคำร้องโจทก์. โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านอย่างใด แม้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มิได้ยกเรื่องการโอนคดีขึ้นว่ากล่าวคัดค้าน จึงทำให้ประเด็นข้อนี้ยุติ. โจทก์จะกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาอีกไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1801/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดพยานหลักฐานในวันไต่สวนมูลฟ้อง ทำให้ศาลยกฟ้องคดีอาญาได้
คดีอาญาเมื่อถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง มีแต่ทนายโจทก์มาศาลส่วนโจทก์และพยานไม่มาศาล และมิได้แถลงข้อขัดข้องให้ศาลทราบ เช่นนี้ ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบสนับสนุนข้อกล่าวหาของตน ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1801/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดพยานในวันไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา ทำให้ศาลยกฟ้องได้ แม้มีการขอหมายเรียกพยานไว้ก่อน
คดีอาญาเมื่อถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง มีแต่ทนายโจทก์มาศาล. ส่วนโจทก์และพยานไม่มาศาล. และมิได้แถลงข้อขัดข้องให้ศาลทราบ. เช่นนี้ ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบสนับสนุนข้อกล่าวหาของตน. ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะและการลดหย่อนผ่อนโทษในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ชีวิต ศาลมีอำนาจวินิจฉัยแม้จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้
จำเลยใช้เท้าถีบฝาเรือนใส่หน้าบิดา. เป็นการกระทำที่บุตรไม่น่าจะทำต่อบิดาก็จริง. แต่บิดาก็เป็นฝ่ายผิดอยู่มากที่เอามีดดาบขนาดใหญ่เข้าไปจะแทงจำเลย. เป็นการใช้สิทธิความเป็นบิดาเกินควร. ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม. จำเลยตีมีดดาบหลุดจากมือบิดาไปแล้วก็หยิบมีดดาบนั้นมาทำร้ายบิดาในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดติดกันนั่นเอง. ถือได้ว่ากระทำลงโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72.
แม้จำเลยให้การรับสารภาพและไม่ได้ยกเรื่องบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้. เมื่อทางพิจารณาปรากฏว่ามีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ. ศาลก็ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำพิพากษาคดีอาญา: ศาลชอบบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาห้ามประกอบกิจการ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลก็ชอบที่จะบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 เมื่อบังคับคดีแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ.ก็เป็นเรื่องที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะกรณีเช่นนี้ต้องนำเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ มิฉะนั้นคำพิพากษาของศาลก็ไร้ผล
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้มาตราใดโดยเฉพาะ แต่ก็ได้กล่าวไว้ว่าให้นำเอาภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด1 มาใช้บังคับ ดังนั้น การจะใช้มาตราใดมาปรับแก่คดีก็เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำพิพากษาคดีอาญา: ศาลชอบที่จะบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา แม้ไม่มีบทบัญญัติเฉพาะ
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลก็ชอบที่จะบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา245 เมื่อบังคับคดีแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ก็เป็นเรื่องที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะกรณีเช่นนี้ต้องนำเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ มิฉะนั้นคำพิพากษาของศาลก็ไร้ผล
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้มาตราใดโดยเฉพาะแต่ก็ได้กล่าวไว้ว่าให้นำเอาภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด 1 มาใช้บังคับ ดังนั้น การจะใช้มาตราใดมาปรับแก่คดีก็เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำพิพากษาคดีอาญา: การห้ามประกอบกิจการและการนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลก็ชอบที่จะบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา245. เมื่อบังคับคดีแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ.ก็เป็นเรื่องที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป. เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ.กรณีเช่นนี้ต้องนำเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ. มิฉะนั้นคำพิพากษาของศาลก็ไร้ผล.
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้มาตราใดโดยเฉพาะ. แต่ก็ได้กล่าวไว้ว่าให้นำเอาภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด1 มาใช้บังคับ. ดังนั้น การจะใช้มาตราใดมาปรับแก่คดีก็เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทนอกฟ้องในคดีอาญา ศาลไม่ผูกพันตามข้อตกลง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีบทบัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความในอันที่จะตกลงกันหรือที่เรียกว่าท้ากัน ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อหนึ่งข้อใดโดยเฉพาะแล้วให้ศาลพิพากษาชี้ขาดไปตามประเด็นข้อที่ตกลงหรือท้ากันนั้นได้ และในการนี้จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138,182 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการตกลงหรือท้ากันในคดีแพ่งมาใช้กับคดีอาญาโดยอนุโลม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ก็ไม่ได้ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 บัญญัติบังคับห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสียค่าภาคหลวงจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในข้อหานี้แต่รับสารภาพในข้ออื่นที่โจทก์มิได้ฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน.ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้
of 312