คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี แม้ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ไว้ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเสียเวลา
คดีโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง ที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์อ้างเหตุว่า โจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์ภายใน 10 วันศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์อุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนดแล้วจึงให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ ดังนี้ เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มุ่งผลขอให้มีการสืบพยานโจทก์ต่อไปเท่านั้น จึงไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของโจทก์และเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ไร้สาระไม่สมควรที่ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3351/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยบัญชีเดินสะพัด-เบิกเกินบัญชี: ศาลฎีกาวินิจฉัยสิทธิคิดดอกเบี้ยตามสัญญาและกฎหมาย
จำเลยทำสัญญาเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์มีเงื่อนไขเพียงว่า ถ้าหากธนาคารจ่ายเงินตามเช็คให้เกิน จำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีของจำเลยไป จำเลยยอมใช้เงินส่วนที่โจทก์จ่ายเกินบัญชีให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามกฎหมายนับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงิน โจทก์จำเลยหาได้มีเจตนาตกลงกันโดยตรงว่า สืบแต่นั้น ไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนหักกลบลบกันคงชำระแต่ส่วน ที่เหลืออันเป็นลักษณะสำคัญของบัญชีเดินสะพัดไม่และถือ ไม่ได้ว่าเป็นการค้าอย่างอื่นในทำนองเช่นว่านั้น อันจะคิดดอกเบี้ยทบต้นกันได้ จึงไม่เข้าเงื่อนไขเป็นบัญชีเดินสะพัดหรือเป็นการค้าขายอย่างอื่นทำนองเดียวกันนี้ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่จำเลย
คำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันกล่าวถึงการคิดดอกเบี้ยไว้เพียงว่าคิดดอกเบี้ยกันในอัตราสูงสุดตามกฎหมาย ทั้งกรณีมิใช่เรื่องกู้ยืมเงินและไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงว่าให้คิดดอกเบี้ยได้สูงสุดในอัตราเท่าใด จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7คือโจทก์มีสิทธิคิดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารได้จ่ายเงินจำนวนที่เกินบัญชีนั้นเป็นต้นไป (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1587/2523)
จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันต่อธนาคารโจทก์ตั้งแต่วันที่7 พฤษภาคม 2519 ต่อมาวันที่ 1 พฤศจิกายน 2520 จำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และนำที่ดินมาจำนอง เป็นประกันหนี้ไว้แก่โจทก์ ก่อนทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญาจำนองโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่จำเลยในจำนวนเงินส่วนที่โจทก์จ่ายเกินบัญชีให้จำเลยไป คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในจำนวนเงินที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2520 เป็นต้นไป ยอดเงินที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลย เป็นยอดเงินที่คิดดอกเบี้ยมาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย กล่าวคือโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี มาตั้งแต่วันที่จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันตลอดมา หาได้คิดตามสิทธิควรได้ดังกล่าวไม่ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องคดีมาไม่ถูกต้อง ไม่ได้คิดแยกยอดเงินที่ควรได้รับ นับจากจำเลยขอเปิดบัญชีกระแสรายวันจนถึงวันทำสัญญาขอ กู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้ว่าเป็นยอดเงินเท่าใด ปรากฏว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คหลายร้อยฉบับ และโจทก์จ่ายเงินเกินบัญชีให้ไป ซึ่งศาลไม่มีหน้าที่จะต้องคิดยอดเงินดังกล่าวให้โจทก์เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องคิดยอดมาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวไว้ในฟ้อง เพื่อให้โจทก์จำเลยได้ตรวจสอบโต้แย้งว่าคิดถูกต้องหรือไม่เพียงใด ดังนี้ศาลจึงชอบที่จะพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียทั้งหมด โดยให้โจทก์นำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3323/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่สมบูรณ์ฐานพยายามฆ่า – โจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายที่ถูกต้อง – ศาลฎีกายกฟ้อง
บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงใส่ย. โดยเจตนาฆ่าเพื่อจะเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่จำเลยกับพวกได้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์ ฯลฯ แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล แต่โจทก์ไม่ได้ระบุอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 มาในคำขอท้ายฟ้อง กรณีมิ ใช่โจทก์อ้างฐานความผิด หรือบทมาตราผิด แต่โจทก์ไม่ได้ อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการ กระทำเช่นนั้นเป็น ความผิดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6)มาในฟ้อง ฟ้องโจทก์ฐานพยายามฆ่าตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ประกอบด้วย มาตรา 80จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ลงโทษจำเลยสำหรับความผิด ฐานนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3142/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แก้ไขโทษจำคุกเกิน 50 ปี ตามกฎหมายอาญาใหม่ ศาลฎีกากลับคำพิพากษา
ระหว่างพิจารณาคดีของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 91 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 2 โดยบัญญัติความในมาตรา 91 ขึ้นใหม่ จะลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 50 ปีไม่ได้ เว้นแต่จะลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83 กระทงหนึ่ง จำคุกตลอดชีวิตและตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 3 ปีแต่เมื่อวางโทษจำคุกตลอดชีวิตในกระทงแรกแล้ว ก็ไม่ต้องนำโทษจำคุก 3ปีในกระทงหลังมารวมด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3130/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการรอการบังคับคดีระหว่างการพิจารณาคำขอทุเลาการบังคับคดีชั้นฎีกา
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รอฟังคำสั่งของศาลฎีกาเกี่ยวกับคำขอทุเลาการบังคับไว้นั้น มีความหมายว่าให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไว้ชั่วคราวก่อนจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอทุเลาการบังคับชั้นฎีกาของจำเลย ซึ่ง รวมถึงการรอการออกหมายเรียกเพื่อจับกุมและกักขังจำเลยด้วย ศาลชั้นต้น มีอำนาจมีคำสั่งเช่นนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดินของผู้อื่นโดยเจตนา และความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกาพิจารณาเจตนาและไม่ปรับบทลงโทษซ้ำซ้อน
จำเลยทราบดีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งครอบครองอยู่ก่อนโดยมี น.ส.3 เป็นหลักฐานเมื่อโจทก์ร่วมนำที่พิพาทไปจำนอง จำเลยก็รู้เห็นในการจำนองด้วย การที่จำเลยเข้าไปบุกรุกแผ้วถางที่พิพาท จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยเข้าใจผิดหรือขาดเจตนาแต่อย่างใด จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์
ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เมื่อจำเลยผิดตามมาตรา 359 แล้วก็ไม่จำต้องยก มาตรา 358 ขึ้นปรับบทลงโทษอีก
(อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3115/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2985/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างป่วย: ศาลฎีกาจำกัดการใช้ดุลยพินิจเพื่อเพิ่มค่าชดเชยเกินคำขอ หากลูกจ้างไม่ได้อ้างค่าจ้างต่ำกว่ากฎหมาย
การเลิกจ้างในกรณีลูกจ้างป่วยไม่อาจปฏิบัติงานให้นายจ้างได้นั้น ไม่เข้าข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 47 อันนายจ้างจะเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เมื่อลูกจ้างฟ้องเรียกค่าชดเชยตามอัตราค่าจ้างสุดท้ายซึ่งต่ำกว่าอัตราตามกฎหมายมาด้วยความสมัครใจ มิได้พลั้งพลาดผิดหลง จึงยังไม่สมควรที่ศาลจะอ้างความเป็นธรรมนำค่าจ้างที่ลูกจ้างมิได้รับจริงมาเป็นฐานคำนวณให้ลูกจ้างได้รับค่าชดเชยเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำบังคับคดี: ศาลออกคำบังคับเกินคำพิพากษาศาลฎีกาไม่ได้ แม้คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์
คดีที่ศาลฎีกาพิพากษาเพียงว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์มีสิทธิ ครอบครองที่พิพาท ให้เพิกถอน น.ส.3ก.สำหรับที่ พิพาทซึ่งมีชื่อจำเลย มิได้พิพากษาให้จำเลยออกจากที่ พิพาท ศาลชั้นต้นจะออกคำบังคับให้จำเลยออกจากที่พิพาท ภายในกำหนด 30 วันไม่ได้ เพราะเป็นการ ออกคำบังคับเกิน กว่าคำพิพากษาศาลฎีกา แม้คดีนี้จะเป็นคดีฟ้องเรียก อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) บัญญัติว่า 'ให้พึงเข้าใจว่าเป็นประเภทเดียวกับ ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย ถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เมื่อศาล เห็นสมควรศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้' ย่อม หมายความว่า ศาลจะต้องเห็นสมควรและมีคำสั่งไว้ ขณะเมื่อมี คำพิพากษา หรือคำสั่งชี้ขาดคดี โดยเฉพาะคดีนี้โจทก์เป็นยายจำเลยโจทก์อาจประสงค์ให้ที่ดินตามน.ส.3 ก ที่พิพาทซึ่งมีชื่อจำเลยกลับมา เป็นชื่อของโจทก์เท่านั้น โดยไม่ประสงค์จะขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท จึงมิได้มีคำขอท้ายฟ้องให้ ขับไล่จำเลยในขณะที่ยื่นฟ้อง ฉะนั้นที่ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยออกจากที่พิพาทภายใน 30 วัน จึงไม่ ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2633/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแจ้งความเท็จและจดข้อความเท็จในเอกสารราชการ แม้เป็นคนละกรรม แต่ฟ้องไม่ขัดแย้ง หากขาดอายุความ ศาลฎีกายกฟ้องได้
ฟ้องของโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าเป็นคนสัญชาติไทยในการยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชน กับแจ้งต่อเจ้าพนักงานให้จดข้อความลงในเอกสารราชการว่าจำเลยมีสัญชาติไทยอันเป็นความเท็จนั้น หาเป็นการขัดแย้งกันไม่ เพราะต่างก็เป็นการกระทำอันเป็นความผิดในตัวแยกต่างหากจากกันได้จำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดี และให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
ปัญหาเรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95 เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2609/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการพิจารณาคดีฎีกา: ศาลฎีกาไม่ก้าวล่วงวินิจฉัยความผิดที่ยุติไปแล้ว แม้มีการอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานแผ้วถางครอบครองที่ดินอันเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ กับฐานผลิตกัญชาและมีกัญชาไว้ใน ความครอบครองเพื่อจำหน่ายเมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา เฉพาะความผิดฐานแผ้วถางครอบครองที่ดินอันเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เท่านั้นส่วนความผิดฐานผลิตกัญชาและมีกัญชาไว้ในความครอบครอง เพื่อจำหน่ายศาลไม่รับฎีกาของจำเลยเพราะต้องห้ามฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงเช่นนี้ศาลฎีกาจะก้าวล่วงไปวินิจฉัยข้อหาฐานผลิตกัญชา และมีกัญชาที่ยุติไปแล้วนั้นมิได้ (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2527)
of 344