พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1614/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อสันนิษฐานทางกฎหมายศุลกากร: พยานหลักฐานต้องแสดงเค้ามูลความผิดผู้ครอบครองสินค้า
พระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 มาตรา 10 มิได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าเมื่อปรากฎว่าผู้ใดมีสิ่งซึ่งต้องห้าม หรือสิ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นสิ่งต้องกำกัดหรือเป็นสิ่งลักลอยหนีศุลกากรไว้ในครอบครอง ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นได้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือนำเข้ามาโดยลักลอบหนีศุลกากร หากแต่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นความจริงตามข้อเท็จจริงที่จดแจ้งไว้ในบันทึกของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้พบเห็นข้อนี้เป็นข้อสันนิษฐานข้อแรก ส่วนข้อสันนิษฐานว่าผู้มีสิ่งนั้นไว้ในครอบครองเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบ ฯ นั้น เป็นเพียงพอที่สืบเนื่องจากข้อสันนิษฐานข้อแรกนั้น
ข้อเท็จจริงที่จดแจ้งไว้ในบันทึกตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติที่กล่าวนั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ประกอบกันเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมพอจะแสดงเค้ามูลว่าผู้มีไว้ในครอบครองนั้นเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร
บันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งไว้แต่ว่า ตำรวจได้ตรวจค้นบ้านจำเลย ค้นพบสิ่งของบรรจุอยู่ในกระสอบ ได้สอบถามจำเลย จำเลยว่ารับฝากไว้จากชายไม่ทราบชื่อ บรรทุกรถมา 1 คัน ตอนเช้าวันนั้นเอง ตำรวจสงสัยว่าเป็นสินค้าที่หลบหนีศุลกากร จึงยึดสินค้าและคุมตัวจำเลยมาดำเนินคดี เพียงเท่านี้ย่อมไม่มีลักษณะเป็นบันทึกอันจะก่อให้เกิดข้อสันนิษฐานตามมาตรา 10 ที่กล่าวนั้น และเมื่อเป็นดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยร่วมกับผู้อื่นนำสินค้าเหล่านั้นเข้ามาในราชอาณาจักรโจทก์ก็ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจะลงโทษจำเลยได้ก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เพียงพอให้ฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อหา
ถ้าศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายจึงมิได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ คงวินิจฉัยแต่ของจำเลยแล้วฟังว่าจำเลยมีความผิดลงโทษจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแต่ก็เอาข้อสันนิษฐานนั้นมาประกอบด้วย แล้วจึงฟังว่าจำเลยมีความผิดและพิพากษายืน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีแห่งคดีนี้ไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมาย และเห็นว่าศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยโดยชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง แต่พึงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ตามพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยได้นำสืบมาแล้ว
ข้อเท็จจริงที่จดแจ้งไว้ในบันทึกตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติที่กล่าวนั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ประกอบกันเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมพอจะแสดงเค้ามูลว่าผู้มีไว้ในครอบครองนั้นเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร
บันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งไว้แต่ว่า ตำรวจได้ตรวจค้นบ้านจำเลย ค้นพบสิ่งของบรรจุอยู่ในกระสอบ ได้สอบถามจำเลย จำเลยว่ารับฝากไว้จากชายไม่ทราบชื่อ บรรทุกรถมา 1 คัน ตอนเช้าวันนั้นเอง ตำรวจสงสัยว่าเป็นสินค้าที่หลบหนีศุลกากร จึงยึดสินค้าและคุมตัวจำเลยมาดำเนินคดี เพียงเท่านี้ย่อมไม่มีลักษณะเป็นบันทึกอันจะก่อให้เกิดข้อสันนิษฐานตามมาตรา 10 ที่กล่าวนั้น และเมื่อเป็นดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยร่วมกับผู้อื่นนำสินค้าเหล่านั้นเข้ามาในราชอาณาจักรโจทก์ก็ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจะลงโทษจำเลยได้ก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เพียงพอให้ฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อหา
ถ้าศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายจึงมิได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ คงวินิจฉัยแต่ของจำเลยแล้วฟังว่าจำเลยมีความผิดลงโทษจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแต่ก็เอาข้อสันนิษฐานนั้นมาประกอบด้วย แล้วจึงฟังว่าจำเลยมีความผิดและพิพากษายืน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีแห่งคดีนี้ไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมาย และเห็นว่าศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยโดยชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง แต่พึงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ตามพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยได้นำสืบมาแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1614/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อสันนิษฐานทางกฎหมายในคดีศุลกากร: พยานหลักฐานต้องแสดงเค้ามูลความผิดของผู้ครอบครอง
พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 มาตรา 10มิได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า เมื่อปรากฏว่าผู้ใดมีสิ่งซึ่งต้องห้าม หรือสิ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นสิ่งกำกัดหรือเป็นสิ่งลักลอบหนีศุลกากรไว้ในครอบครอง ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นได้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร หากแต่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นความจริงตามข้อเท็จจริงที่จดแจ้งไว้ในบันทึกของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้พบเห็นข้อนี้เป็นข้อสันนิษฐานข้อแรก ส่วนข้อสันนิษฐานว่าผู้มีสิ่งนั้นไว้ในความครอบครองเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบ นั้น เป็นเพียงผลที่สืบเนื่องจากข้อสันนิษฐานข้อแรกนั้น
ข้อเท็จจริงที่จะจดแจ้งไว้ในบันทึกตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติที่กล่าวนั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ประกอบกันเป็นพยาน พฤติเหตุแวดล้อมพอจะแสดงเค้ามูลว่าผู้มีไว้ในครอบครองนั้นเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร
บันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจจดแจ้งไว้แต่ว่าตำรวจได้ตรวจค้นบ้านจำเลยค้นพบสิ่งของบรรจุอยู่ในกระสอบ ได้สอบถามจำเลยจำเลยว่ารับฝากไว้จากชายไม่ทราบชื่อบรรทุกรถมา 3 คัน ตอนเช้าวันนั้นเอง ตำรวจสงสัยว่าเป็นสินค้าที่หลบหนีศุลกากร จึงยึดสินค้าและคุมตัวจำเลยมาดำเนินคดีเพียงเท่านี้ย่อมไม่มีลักษณะเป็นบันทึกอันจะก่อให้เกิดข้อสันนิษฐานตามมาตรา 10 ที่กล่าวนั้น และเมื่อเป็นดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยร่วมกับผู้อื่นนำสินค้าเหล่านั้นเข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์ก็ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจะลงโทษจำเลยได้ก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เพียงพอให้ฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อหา
ถ้าศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมาย จึงมิได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ คงวินิจฉัยแต่ของจำเลย แล้วฟังว่าจำเลยมีความผิดลงโทษจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย แต่ก็นำเอาข้อสันนิษฐานนั้นมาประกอบด้วย แล้วจึงฟังว่าจำเลยมีความผิดและพิพากษายืน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีแห่งคดีนี้ไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมาย และเห็นว่าศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยโดยชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง แต่พึงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ตามพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยได้นำสืบมาแล้ว
ข้อเท็จจริงที่จะจดแจ้งไว้ในบันทึกตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติที่กล่าวนั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ประกอบกันเป็นพยาน พฤติเหตุแวดล้อมพอจะแสดงเค้ามูลว่าผู้มีไว้ในครอบครองนั้นเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร
บันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจจดแจ้งไว้แต่ว่าตำรวจได้ตรวจค้นบ้านจำเลยค้นพบสิ่งของบรรจุอยู่ในกระสอบ ได้สอบถามจำเลยจำเลยว่ารับฝากไว้จากชายไม่ทราบชื่อบรรทุกรถมา 3 คัน ตอนเช้าวันนั้นเอง ตำรวจสงสัยว่าเป็นสินค้าที่หลบหนีศุลกากร จึงยึดสินค้าและคุมตัวจำเลยมาดำเนินคดีเพียงเท่านี้ย่อมไม่มีลักษณะเป็นบันทึกอันจะก่อให้เกิดข้อสันนิษฐานตามมาตรา 10 ที่กล่าวนั้น และเมื่อเป็นดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยร่วมกับผู้อื่นนำสินค้าเหล่านั้นเข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์ก็ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจะลงโทษจำเลยได้ก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์เพียงพอให้ฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อหา
ถ้าศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมาย จึงมิได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ คงวินิจฉัยแต่ของจำเลย แล้วฟังว่าจำเลยมีความผิดลงโทษจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย แต่ก็นำเอาข้อสันนิษฐานนั้นมาประกอบด้วย แล้วจึงฟังว่าจำเลยมีความผิดและพิพากษายืน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีแห่งคดีนี้ไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมาย และเห็นว่าศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยโดยชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่าง แต่พึงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ตามพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยได้นำสืบมาแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1351/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำลายเอกสารก่อนถูกสั่งให้ส่งเป็นพยานหลักฐาน ไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
เอกสารอยู่ในกระดาษฟูลสะแก๊ปแผ่นเดียวกัน 1 ซีก ซีกหนึ่งเป็นพินัยกรรม อีกซีกหนึ่งเป็นสัญญาผูกแก้ (สัญญาเช่าอย่างหนึ่ง) จำเลยได้ฉีกกระดาษ 2 ซีกแผ่นนี้ให้ขาดออกจากกันเป็นซีกละแผ่น (ข้อความคงเดิม) และจำเลยฉีกก่อน จำเลยได้รับหมายเรียกจากศาลให้ส่งพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพยาน เช่นนี้ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142 เพราะ ขณะฉีกเอกสารรายนี้ ยังไม่ใช่เอกสารที่ศาลสั่งให้จำเลยส่งเพื่อเป็นพยานหลักฐาน
อนึ่ง เมื่อจำเลยฉีกให้ขาดโดยไม่ได้ทำให้โจทก์หรือผู้ใดเสียหาย และโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาทำให้เอกสารไร้ประโยชน์จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ด้วย
อนึ่ง เมื่อจำเลยฉีกให้ขาดโดยไม่ได้ทำให้โจทก์หรือผู้ใดเสียหาย และโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาทำให้เอกสารไร้ประโยชน์จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1351/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำลายเอกสารก่อนศาลสั่งให้ส่งเป็นพยานหลักฐาน ไม่ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
เอกสารอยู่ในกระดาษฟูลสะแก็ปแผ่นเดียวกัน2ซีก ซีกหนึ่งเป็นพินัยกรรม อีกซีกหนึ่งเป็นสัญญาผูกแก้(สัญญาเช่าอย่างหนึ่ง) จำเลยได้ฉีกกระดาษ 2 ซีกแผ่นนี้ให้ขาดออกจากกันเป็นซีกละแผ่น (ข้อความคงเดิม)และจำเลยฉีกก่อนจำเลยได้รับหมายเรียกจากศาลให้ส่งพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพยาน เช่นนี้ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142 เพราะขณะฉีกเอกสารรายนี้ยังไม่ใช่เอกสารที่ศาลสั่งให้จำเลยส่งเพื่อเป็นพยานหลักฐาน
อนึ่ง เมื่อจำเลยฉีกให้ขาดโดยไม่ได้ทำให้โจทก์หรือผู้ใดเสียหาย และโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาทำให้เอกสารไร้ประโยชน์ จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ด้วย
อนึ่ง เมื่อจำเลยฉีกให้ขาดโดยไม่ได้ทำให้โจทก์หรือผู้ใดเสียหาย และโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาทำให้เอกสารไร้ประโยชน์ จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาฐานจ้างวานเบิกความเท็จ: การพิจารณาความเคลือบคลุมของฟ้อง และความสำคัญของพยานหลักฐาน
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสมคบกันใช้บังคับขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม ให้พยานเบิกความเท็จนั้น ไม่เป็นฟ้องที่ขัดกัน ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ และไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ในเมื่อเป็นการบรรยายรายละเอียดการกระทำทั้งหลายที่จำเลยได้กระทำรวมกันไป
พยานเบิกความว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้ และศาลได้พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุนี้ ข้อความที่พยานเบิกความนั้น จึงเป็นข้อสำคัญในคดี
ในการจ้างวานและยุยงให้พยานเบิกความเท็จต่อศาลนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดกับพยานว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว เพราะได้ให้พนักงานอัยการ 500 บาท แล้ว เมื่อโจทก์นำสืบกลับสืบว่า ได้ให้ 800 บาท เช่นนี้ เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พยานเบิกความว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้ และศาลได้พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุนี้ ข้อความที่พยานเบิกความนั้น จึงเป็นข้อสำคัญในคดี
ในการจ้างวานและยุยงให้พยานเบิกความเท็จต่อศาลนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดกับพยานว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว เพราะได้ให้พนักงานอัยการ 500 บาท แล้ว เมื่อโจทก์นำสืบกลับสืบว่า ได้ให้ 800 บาท เช่นนี้ เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
งดสืบพยานผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีพยานหลักฐานมั่นคงและเห็นได้ชัดว่าเป็นการประวิงคดี
พยานผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นพยานแสดงความคิดเห็นตามหลักวิชาแม้จะเป็นพยานที่ศาลรับฟัง แต่ก็มิใช่ว่าจะต้องเชื่อตามเสมอไปคำพยานชนิดนี้จะมีน้ำหนักยิ่งกว่าประจักษ์พยานหรือไม่นั้น ก็ต้องพิจารณาตามรูปเรื่องเหตุผลและพยานหลักฐานอื่นประกอบกัน ในกรณีที่โจทก์อ้างเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลย แต่จำเลยปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของตน และจำเลยจะขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ (เมื่อได้สืบพยานอื่นๆ ของจำเลยแล้ว) ถ้าโจทก์มีพยานหลักฐานมั่นคงน่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยแล้ว ทั้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของจำเลยมีเค้ามูลน่าเชื่อว่าเป็นการประวิงคดีแล้ว ศาลมีอำนาจสั่งงดสืบพยานผู้เชี่ยวชาญที่จำเลยขออ้างนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1106/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้คำให้การของผู้ต้องหาในฐานะพยานโจทก์เป็นหลักฐานลงโทษจำเลย: พยานหลักฐานต้องได้มาจากโจทก์เท่านั้น
ในคดีอาญานั้น พยานหลักฐานที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ต้องเป็นพยานหลักฐานโจทก์ เมื่อจะเอาจำเลยเป็นผู้ต้องหาก็ต้องสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 การที่พนักงานสอบสวนจำเลยเป็นพยานในชั้นแรก จึงเป็นพยานที่มิชอบ จะนำคำให้การของจำเลยที่ให้การเป็นพยานในชั้นสอบสวนนั้นมาอ้างพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงปากเปล่าเกี่ยวกับการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการทำถนน ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสัญญากู้ สามารถนำสืบพยานได้และหักกลบลบหนี้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ขายที่ดินให้จำเลย จำเลยชำระราคายังไม่ครบเงินจำนวนที่ยังค้างอยู่นั้น โจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ตามฟ้องให้โจทก์ไว้ โดยตกลงกันด้วยปากเปล่าว่าเมื่อจำเลยทำถนนในที่ดินนั้นแล้ว โจทก์จะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง จะคิดหักเงินให้เมื่อทำเสร็จแล้ว ต่อมาจำเลยทำถนนเสร็จแล้วเมื่อคิดหักเงินส่วนที่โจทก์จะต้องออกแล้วจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์น้อยกว่าจำนวนที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ ข้อตกลงเช่นนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากสัญญากู้ จำเลยจึงนำสืบพยานบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 และหนี้ดังกล่าวก็อยู่ในลักษณะที่อาจหักกลบลบหนี้กันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658-660/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลเมื่อคู่ความไม่สืบพยาน: พิจารณาจากพยานหลักฐานที่มีอยู่
คดีแพ่งซึ่งเป็นคู่ความตั้งประเด็นท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะ โดยยืนยันไม่สืบพยาน นั้น แม้ตามสำนวนไม่ปรากฏคำพยานหลักฐานอันสมบูรณ์ก็ตาม ศาลก็ชอบที่จะพิจารณาพิพากษาไปตามพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฎเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาต้องแสวงหาความจริง แม้จำเลยรับสารภาพ ศาลต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่อาจทำให้จำเลยไม่ต้องรับโทษ
ถึงแม้จำเลยจะรับสารภาพตามฟ้อง และโจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยานก็ดี หากมีหลักฐานบางอย่างปรากฏอยู่ในสำนวนว่าถ้าเป็นจริงตามหลักฐานนั้น จะไม่อาจลงโทษจำเลยได้แล้วศาลก็ชอบที่จะพิจารณาหลักฐานข้อนั้นให้ได้ความแน่ชัดเสียก่อนเช่น สอบถามโจทก์ หรือสืบพยานหลักฐานที่อาจมีต่อไปให้เสร็จสิ้นแล้วจึงพิพากษาคดีไปตามที่ได้ความนั้นไม่ใช่ด่วนพิพากษาไปตามคำรับสารภาพนั้นเลยทีเดียว