พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1079/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาการขอพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา 208 วรรคสุดท้าย พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง: กำหนดเวลา 15 วัน และ 6 เดือน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 กำหนดระยะเวลาการใช้สิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้เป็น 2 ระยะตามลำดับกัน กล่าวคือในกรณีแรกต้องยื่นคำขอต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย และหากศาลได้กำหนดวิธีการอย่างใดเพื่อส่งคำบังคับโดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทนแล้ว ก็นับกำหนดระยะเวลาต่อเมื่อได้มีการปฏิบัติตามคำกำหนดนั้นแล้ว ในกรณีที่สอง หากมีพฤติการณ์อันนอกเหนือไม่อาจบังคับได้ อันเป็นเหตุให้คู่ความนั้นไม่อาจยื่นคำขอภายในกำหนดเวลาตามกรณีแรก คู่ความนั้นยังมีสิทธิยื่นคำขอได้อีกภายใน 15 วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นสิ้นสุดลง
ส่วนความตอนท้ายของบทบัญญัติดังกล่าวซึ่งห้ามมิให้ยื่นคำขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือมีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งอื่นโดยวิธีอื่นนั้น เป็นเพียงบทกำหนดระยะเวลาไว้ว่า แม้จะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ หากพฤติการณ์นอกเหนือนั้นทำให้การยื่นคำขอล่าช้าเกินกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์ หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว คู่ความนั้นจะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้ และกำหนดระยะเวลา 15 วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงที่ให้สิทธิคู่กรณียื่นคำขอพิจารณาใหม่ในกรณีที่สองดังกล่วนั้น ก็ต้องอยู่ในบังคับกำหนดเวลา 6 เดือน ตามความตอนท้ายของวรรคแรกแห่งบทบัญญัตินี้ด้วย
ส่วนความตอนท้ายของบทบัญญัติดังกล่าวซึ่งห้ามมิให้ยื่นคำขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือมีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งอื่นโดยวิธีอื่นนั้น เป็นเพียงบทกำหนดระยะเวลาไว้ว่า แม้จะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ หากพฤติการณ์นอกเหนือนั้นทำให้การยื่นคำขอล่าช้าเกินกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์ หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว คู่ความนั้นจะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้ และกำหนดระยะเวลา 15 วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงที่ให้สิทธิคู่กรณียื่นคำขอพิจารณาใหม่ในกรณีที่สองดังกล่วนั้น ก็ต้องอยู่ในบังคับกำหนดเวลา 6 เดือน ตามความตอนท้ายของวรรคแรกแห่งบทบัญญัตินี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินต่อศาลหลังมีคำพิพากษา ไม่ปลดเปลื้องหนี้ดอกเบี้ย โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเรียกดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยนำต้นเงินและดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จตามจำนวนที่จำเลยจะต้องใช้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาวางไว้ต่อศาล แล้วจำเลยอุทธรณ์ฎีกาต่อมาโต้แย้งว่า จำเลยไม่ควรรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ใช่กรณีที่จำเลยวางเงินต่อศาลตามที่โจทก์เรียกร้องโดยยอมรับผิดอันจะเป็นเหตุให้ระงับการเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่วาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136 กรณีมีผลเพียงตามมาตรา 231 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้ศาลงดการบังคับคดีไว้ก่อนในระหว่างอุทธรณ์ฎีกาเท่านั้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้เงินและดอกเบี้ย คดีถึงที่สุด โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งบังคับให้จำเลยปฏิบัติการชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่วางศาลจากวันที่จำเลยได้วางไว้แล้วต่อไปในระหว่างอุทธรณ์ฎีกาให้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-บังคับคดีตามยอม: ศาลยกฟ้องกรณีฟ้องเรียกค่าเสียหายซ้ำกับคดีเดิมที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปขุดดินทำไร่ไถนาในที่ดินของโจทก์ภายในเขตเสาหินที่เจ้าพนักงานปักไว้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่รู้แนวเขตที่ของโจทก์จำเลยแน่ชัด จำเลยเข้าใจว่าเป็นเขตที่ดินของตนเอง ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินโจทก์ ดังนี้ จำเลยจะมายกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย เพราะโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์ เนื่องจากยังมิได้มีการทำสัญญาแบ่งแยกนั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นข้อที่มิได้กล่าวอ้างมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและบังคับตามคำพิพากษาตามยอม การฟ้องร้องประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินซ้ำกับคดีเดิมที่ศาลตัดสินแล้วเป็นฟ้องซ้ำ
ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปขุดดินทำไร่ไถนาในที่ดินของโจทก์ภายในเขตเสาหินที่เจ้าพนักงานปักไว้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่รู้แนวเขตที่ของโจทก์จำเลยแน่ชัด จำเลยเข้าใจว่าเป็นเขตที่ดินของตนเอง ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินโจทก์ดังนี้ จำเลยจะมายกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเพราะโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์เนื่องจากยังมิได้มีการทำสัญญาแบ่งแยกนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นข้อที่มิได้กล่าวอ้างมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกันและศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดินก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเองการที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกันและศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดินก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเองการที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและผลของสัญญายอมความ: ศาลยกฟ้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสัญญาเดิม แต่เปิดทางบังคับคดี
ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปขุดดินทำไร่ไถนาในที่ดินของโจทก์ภายในเขตเสาหินที่เจ้าพนักงานปักไว้. ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย. จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่รู้แนวเขตที่ของโจทก์จำเลยแน่ชัด. จำเลยเข้าใจว่าเป็นเขตที่ดินของตนเอง ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินโจทก์.ดังนี้ จำเลยจะมายกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย. เพราะโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์. เนื่องจากยังมิได้มีการทำสัญญาแบ่งแยกนั้นหาได้ไม่. เพราะเป็นข้อที่มิได้กล่าวอ้างมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์. และทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด.
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505ของศาลจังหวัดนครปฐม. ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน. และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้. เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน. ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง. การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก. จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505ของศาลจังหวัดนครปฐม. ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน. และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้. เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน. ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง. การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก. จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ร้องที่ศาลพิพากษาให้โอนกรรมสิทธิ์ ย่อมได้รับการคุ้มครอง แม้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอน และโจทก์มิอาจบังคับคดียึดได้
ในระหว่างที่โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นในคดีที่ผู้ร้องคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ได้พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่ผู้ร้อง คำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจึงย่อมมีผลผูกพันทั้งฝ่ายจำเลยและผู้ร้องนับตั้งแต่ได้มีคำพิพากษาดังกล่าวจนกระทั่งถึงวันที่คำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ดังนั้น แม้ผู้ร้องและจำเลยจะได้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวของศาลชั้นต้นและคดียังไม่ถึงที่สุดก็ตาม หากไม่ปรากฏว่าคำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรืองดเสียแต่ประการใด ผู้ร้องก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดที่พิพาท แม้ว่าที่พิพาทจะยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินตามคำพิพากษา vs. การบังคับคดี: คำพิพากษาให้โอนกรรมสิทธิ์มีผลผูกพันก่อนการบังคับคดี
ในระหว่างที่โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นในคดีที่ผู้ร้องคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยได้พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจึงย่อมมีผลผูกพันทั้งฝ่ายจำเลยและผู้ร้องนับตั้งแต่ได้มีคำพิพากษาดังกล่าวจนกระทั่งถึงวันที่คำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ดังนั้น แม้ผู้ร้องและจำเลยจะได้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวของศาลชั้นต้นและคดียังไม่ถึงที่สุดก็ตามหากไม่ปรากฏว่าคำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรืองดเสียแต่ประการใด ผู้ร้องก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดที่พิพาท แม้ว่าที่พิพาทจะยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดี: คำพิพากษาศาลมีผลผูกพัน แม้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอน
ในระหว่างที่โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมนั้น. ปรากฏว่าศาลชั้นต้นในคดีที่ผู้ร้องคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลย.ได้พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่ผู้ร้อง.คำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจึงย่อมมีผลผูกพันทั้งฝ่ายจำเลยและผู้ร้องนับตั้งแต่ได้มีคำพิพากษาดังกล่าวจนกระทั่งถึงวันที่คำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ดังนั้น. แม้ผู้ร้องและจำเลยจะได้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวของศาลชั้นต้น.และคดียังไม่ถึงที่สุดก็ตาม. หากไม่ปรากฏว่าคำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรืองดเสียแต่ประการใด. ผู้ร้องก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษาดังกล่าวได้. โจทก์ไม่มีสิทธิยึดที่พิพาท. แม้ว่าที่พิพาทจะยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ตาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตัวแทนจำกัด การบังคับคดีตามคำพิพากษา และผลของการทำสัญญาเกินอำนาจมอบหมาย
โจทก์มอบอำนาจให้ตัวแทนฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลย โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกที่พิพาท จำเลยยื่นฎีกาแล้วแต่ถอนเสีย เมื่อโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องว่าตัวแทนของโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกที่พิพาทอยู่ต่อไปจนกว่าจะรื้อถอน แต่โจทก์คัดค้านว่า ตัวแทนโจทก์ทำนอกเหนือจากหนังสือมอบอำนาจ และโจทก์ได้ถอนตัวแทนก่อนวันที่จำเลยอ้างว่าทำสัญญาเช่าแล้ว ดังนี้ จำเลยจะอ้างสัญญาซึ่งทำนอกศาลและโจทก์ปฏิเสธมาเพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกที่พิพาท จำเลยยื่นฎีกาแล้วแต่ถอนเสีย เมื่อโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องว่าตัวแทนของโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกที่พิพาทอยู่ต่อไปจนกว่าจะรื้อถอน แต่โจทก์คัดค้านว่า ตัวแทนโจทก์ทำนอกเหนือจากหนังสือมอบอำนาจ และโจทก์ได้ถอนตัวแทนก่อนวันที่จำเลยอ้างว่าทำสัญญาเช่าแล้ว ดังนี้ จำเลยจะอ้างสัญญาซึ่งทำนอกศาลและโจทก์ปฏิเสธมาเพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตัวแทนจำกัด การบังคับคดีตามคำพิพากษา สัญญาเช่าที่ทำโดยตัวแทนเกินอำนาจ
โจทก์มอบอำนาจให้ตัวแทนฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลย โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกที่พิพาทจำเลยยื่นฎีกาแล้วแต่ถอนเสีย เมื่อโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาจำเลยยื่นคำร้องว่าตัวแทนของโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกที่พิพาทอยู่ต่อไปจนกว่าจะรื้อถอน แต่โจทก์คัดค้านว่า ตัวแทนโจทก์ทำนอกเหนือจากหนังสือมอบอำนาจและโจทก์ได้ถอนตัวแทนก่อนวันที่จำเลยอ้างว่าทำสัญญาเช่าแล้ว ดังนี้ จำเลยจะอ้างสัญญาซึ่งทำนอกศาลและโจทก์ปฏิเสธมาเพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกที่พิพาทจำเลยยื่นฎีกาแล้วแต่ถอนเสีย เมื่อโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาจำเลยยื่นคำร้องว่าตัวแทนของโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกที่พิพาทอยู่ต่อไปจนกว่าจะรื้อถอน แต่โจทก์คัดค้านว่า ตัวแทนโจทก์ทำนอกเหนือจากหนังสือมอบอำนาจและโจทก์ได้ถอนตัวแทนก่อนวันที่จำเลยอ้างว่าทำสัญญาเช่าแล้ว ดังนี้ จำเลยจะอ้างสัญญาซึ่งทำนอกศาลและโจทก์ปฏิเสธมาเพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่