พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เรือเป็นพาหนะในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจริบได้ แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายกรณี
จำเลยใช้เรือไปทำการลักอ้อยและบันทุกอ้อย จึงถือได้ว่าจำเลยได้ใช้เรือนี้ในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจริบเรือได้ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 27 แต่รูปคดีนี้ยังไม่สมควรสั่งให้ริบเรือ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เรือเป็นพาหนะในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจริบได้แต่ยังไม่สมควร
จำเลยใช้เรือไปทำการลักอ้อยและบรรทุกอ้อย จึงถือได้ว่าจำเลยได้ใช้เรือนี้ในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจริบเรือได้ตาม กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 27 แต่รูปคดีนี้ยังไม่สมควรสั่งให้ริบเรือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการพิจารณาข้อคัดค้านการตั้งผู้จัดการมฤดก และการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในเรื่องร้องขอเป็นผู้จัดมฤดก แม้ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจศาลย่อมระลึกถึงข้องที่ผู้ร้องเรียกตลอดจนการเรียกพะยานเพื่อประกอบการพิจารณาได้
คำพิพากษาตามปกติย่อมเข้าใจว่า เป็นคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นหมดการพิจารณาสำหรับคดีนั้น ถ้ายังไม่ยุตติการพิจารณาคดีนี้ ก็ชอบที่จะใช้เป็นคำสั่งซึ่งในทางปฏิบัติเรียกว่าคำสั่งระหว่างพิจารณา
(ม.226 ป.ม.วิ.แพ่ง)
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ดำเนินคดีไปอย่างคดีมีข้อพิพาท ศาลชั้นต้นจะพิพากษาหรือสั่งว่าผู้คัดค้านไม่มีสิทธิเป็นคู่ความไม่ได้ เพราะขัดต่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการพิจารณาไปอย่างคดีมีข้อพิพาท
คำพิพากษาตามปกติย่อมเข้าใจว่า เป็นคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นหมดการพิจารณาสำหรับคดีนั้น ถ้ายังไม่ยุตติการพิจารณาคดีนี้ ก็ชอบที่จะใช้เป็นคำสั่งซึ่งในทางปฏิบัติเรียกว่าคำสั่งระหว่างพิจารณา
(ม.226 ป.ม.วิ.แพ่ง)
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ดำเนินคดีไปอย่างคดีมีข้อพิพาท ศาลชั้นต้นจะพิพากษาหรือสั่งว่าผู้คัดค้านไม่มีสิทธิเป็นคู่ความไม่ได้ เพราะขัดต่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการพิจารณาไปอย่างคดีมีข้อพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการกักขังลูกหนี้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลมีอำนาจกักขังได้แม้ไม่มีหมายบังคับคดี
คำบังคับ คือคำสั่งแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ปฎิบัติตามคำพิพากษาและกำหนดวิธีที่จะปฎิบัติไว้ พร้อมทั้งระบุระยะเวลาและเงื่อนไขอื่น ๆ ตามที่จำเป็น (วิ.แพ่ง.ม.272 - 273) และ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 273 นี้ กำหนดวิธีบังคับไว้ในตอนท้ายว่า ถ้าผู้ต้องบังคับมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับ ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์หรือถูกจับหรือจำขังดังที่บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด 1 กล่าวคือ ถ้าเป็นกรณีที่จะดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ ศาลก็ออกหมายบังคับคดี (ม.275 - 276) แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไม่ต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ก็ทำการจับหรือจำขังเพื่อให้ปฏิบัติตามคำบังคับได้แล้วแต่เรื่อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจาห้องเช่าพ้นกำหนดคำบังคับแล้ว จำเลยยังขัดขืนไม่ยอมออกจากห้อง ดังนี้ศาลออกหมายจับจำเลยมากักขังฐานไม่ปฎิบัติตามคำบังคับได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจาห้องเช่าพ้นกำหนดคำบังคับแล้ว จำเลยยังขัดขืนไม่ยอมออกจากห้อง ดังนี้ศาลออกหมายจับจำเลยมากักขังฐานไม่ปฎิบัติตามคำบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการกักขังลูกหนี้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลมีอำนาจกักขังได้แม้ไม่มีหมายบังคับคดี
คำบังคับ คือคำสั่งแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาและกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติไว้พร้อมทั้งระบุระยะเวลาและเงื่อนไขอื่นๆ ตามที่จำเป็น(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา272-273) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 273 นี้ กำหนดวิธีบังคับไว้ในตอนท้ายว่า ถ้าผู้ต้องบังคับมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับ ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์หรือถูกจับหรือจำขัง ดังที่บัญญัติไว้ในภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด 1กล่าวคือ ถ้าเป็นกรณีที่จะดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ ศาลก็ออกหมายบังคับคดี (มาตรา 275-276) แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไม่ต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ทำการจับหรือจำขังเพื่อให้ปฏิบัติตามคำบังคับได้แล้วแต่เรื่อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องเช่า พ้นกำหนดคำบังคับแล้ว จำเลยยังขัดขืน ไม่ยอมออกจากห้องดังนี้ศาลออกหมายจับจำเลยมากักขังฐานไม่ปฏิบัติตามคำบังคับได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องเช่า พ้นกำหนดคำบังคับแล้ว จำเลยยังขัดขืน ไม่ยอมออกจากห้องดังนี้ศาลออกหมายจับจำเลยมากักขังฐานไม่ปฏิบัติตามคำบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการบังคับชำระค่าเช่าและการยกเว้นความรับผิดเนื่องจากเหตุสุดวิสัย
คดีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าและค่าเสียหาย คำนวนถึงวันฟ้อง+เห็นสมควร ศาลจะพิพากษา+ค่าเช่าหรือค่าเสียหาย+ได้ชำระเสร็จตามคำพิพากษา +ป.วิ.แพ่ง ม.142(4) ให้อำนาจศาลไว้สำหรับจะบังคับ+ศาลเห็นสมควรเท่านั้น ถ้ามีกรณีเห็นไม่สมควร ศาลก็ย่อมมีอำนาจบังคับให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการบังคับชำระค่าเช่าหลังวันฟ้อง และขอบเขตความรับผิดของจำเลยในสถานการณ์พิเศษ
ในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าหรือค่าเสียหาย คำนวณถึงวันฟ้องเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะพิพากษาให้ชำระค่าเช่าหรือค่าเสียหายถึงวันที่ได้ชำระเสร็จตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4) นั้นได้ให้อำนาจศาลไว้สำหรับจะบังคับให้เมื่อศาลเห็นสมควรเท่านั้น ถ้ามีกรณีที่ศาลเห็นไม่สมควรศาลก็ย่อมมีอำนาจที่ไม่บังคับให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 268/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสูงในการยกคำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 และสิทธิในการฎีกา
ศาลชั้นต้นทำคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นตามมาตรา 24 ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ยังไม่สมควรที่ศาลจะมีคำสั่งชี้ขาด เพราะข้อเท็จจริงยังไม่ได้ความพอที่จะมีคำสั่งเช่นนั้น จึงพิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ดังนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวแล้ว หาใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ไม่คู่ความย่อมฎีกาได้
แม้ศาลชั้นต้นสั่งชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 แล้วเมื่อศาลสูงเห็นว่า รูปคดียังไม่สมควรชี้ขาดเบื้องต้นก็ให้ยกคำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นของศาลชั้นต้นเสียได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2491)
แม้ศาลชั้นต้นสั่งชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 แล้วเมื่อศาลสูงเห็นว่า รูปคดียังไม่สมควรชี้ขาดเบื้องต้นก็ให้ยกคำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นของศาลชั้นต้นเสียได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการชี้ขาดจำนวนเงินภาษีที่ประเมิน และขอบเขตการตัดสินคดีภาษีอากร
พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ. 2475 มาตรา 31 นั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ว่าการประเมินนั้นได้กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมิน+ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน2005 บาท 42 สตางค์ แต่ศาลให้คืนเงิน1305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ.
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน2005 บาท 42 สตางค์ แต่ศาลให้คืนเงิน1305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการชี้ขาดจำนวนเงินภาษีที่ประเมิน และขอบเขตการตัดสินคดีภาษี
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 31 นั้นไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ว่าการประเมินนั้นได้กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมินด้วยได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน 2,005 บาท 42 สตางค์แต่ศาลให้คืน 1,305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน 2,005 บาท 42 สตางค์แต่ศาลให้คืน 1,305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ