พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,615 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยินยอมให้ขายทรัพย์สิน สัญญาซื้อขายสมบูรณ์ แม้เจ้าของโต้แย้งภายหลัง
เจ้าของยินยอมให้บุคคลอื่นขายและยกทรัพย์สินให้แก่บุคคลที่สาม สัญญาซื้อขายและให้นั้นย่อมสมบูรณ์ เจ้าของจะมาโต้เถียงว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของตนบุคคลอื่นไม่มีสิทธิจะขายหรือให้อีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยินยอมให้ขายทรัพย์สิน สัญญาซื้อขายสมบูรณ์ แม้เจ้าของเดิมจะโต้แย้ง
เจ้าของยินยอมให้บุคคลอื่นขายและยกทรัพย์สินให้แก่บุคคลที่สามสัญญาซื้อขายและให้นั้นย่อมสมบูรณ์เจ้าของจะมาโต้เถียงว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของตนบุคคลอื่นไม่มีสิทธิจะขายหรือให้อีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 504/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานพนัน แม้ยังไม่มีผลแพ้ชนะ การเล่นเพื่อเอาทรัพย์สินถือเป็นความผิด
เมื่อได้ความว่าจำเลยเล่นการพนันสลากกินรวบเพื่อเอาทรัพย์สินกัน แม้ยังไม่มีการได้เสียกันกล่าวคือสลากกินแบ่งของรัฐบาลที่จะถือเป็นหลักในการแพ้ชนะจะยังไม่ออก ดังนี้ก็เป็นผิดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องแย้งเรื่องทรัพย์สินเช่าขาดตกบกพร่อง ตามมาตรา 549 และ 467
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 549 นั้น ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการซื้อขายในเรื่องหน้าที่และความรับผิดของผู้ขาย(หมวดที่ 2) มาใช้บังคับแก่การเช่าทรัพย์โดยอนุโลมตามควรคือไม่เฉพาะแต่ส่วนที่ 2 แต่ให้นำส่วนที่ 1 ว่าด้วยการส่งมอบมาบังคับด้วย
จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ส่งมอบสวนยางที่จำเลยเช่าขาดจำนวนตามสัญญาเช่า ดังนี้เป็นเรื่องทรัพย์ขาดตกบกพร่องตามที่บัญญัติไว้ในส่วนที่ 1 ว่าด้วยการส่งมอบ ไม่ใช่เรื่องชำรุดบกพร่องตามที่บัญญัติไว้ในส่วนที่ 2 อายุความต้องถือมาตรา 467 คือห้ามฟ้องคดีเมื่อพ้น 1 ปีเมื่อคดีของจำเลยเกิน 1 ปี แล้ว จึงขาดอายุความ
จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ส่งมอบสวนยางที่จำเลยเช่าขาดจำนวนตามสัญญาเช่า ดังนี้เป็นเรื่องทรัพย์ขาดตกบกพร่องตามที่บัญญัติไว้ในส่วนที่ 1 ว่าด้วยการส่งมอบ ไม่ใช่เรื่องชำรุดบกพร่องตามที่บัญญัติไว้ในส่วนที่ 2 อายุความต้องถือมาตรา 467 คือห้ามฟ้องคดีเมื่อพ้น 1 ปีเมื่อคดีของจำเลยเกิน 1 ปี แล้ว จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบปล้นทรัพย์: การขู่เข็ญฉวยโอกาสช่วงเล่นการพนัน และเจตนาเอาทรัพย์สิน
เมื่อ่จำเลยฉวยโอกาศในขณะที่ผู้เสียหายกำลังเล่นการพนันโดยใช้ไม้ตะบองขู่เข็ญว่าจะทำร้ายและค้นเอาเงินจากผู้เสียหายไป แล้วหาได้จับกุมฐานเล่นการพนันไม่ ดังนี้ จำเลยมีผิดฐานสมคบกันปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมยกทรัพย์: สิทธิสามีในการจัดการทรัพย์สินหลังภรรยาเสียชีวิต และขอบเขตของข้อตกลงร่วม
สามีภรรยาต่างทำพินัยกรรมให้แก่กัน พินัยกรรมของภรรยามีข้อความว่า "เมื่อข้าพเจ้าวายชนม์แล้ว บรรดาทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าซึ่งมีอยู่ในเวลานี้และมีต่อไปภายหน้า ขอให้ตกเป็นกรรมสิทธิแก่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) ผู้รับพินัยกรรม แต่ถ้าขุนอุปพงษ์ฯถึงแก่กรรมล่วงลับไปก่อนข้าพเจ้าก็ขอให้ทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายของข้าพเจ้าตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ (คุณหญิงเลขวณิชฯ)เป็นผู้รับพินัยกรรม ฯลฯ" และตามพินัยกรรมของสามี (ขุนอุปพงษ์ฯ)ก็มีข้อความทำนองเดียวกัน ยกทรัพย์ให้แก่ภรรยา (นางจันทร์) ถ้านางจันทร์ล่วงลับไปก่อนก็ยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ (คุณหญิงเลขวณิชฯ)
ดังนี้เมื่อภรรยา (นางจันทร์)ตายไปก่อน ทรัพย์มรดกของภรรยา(นางจันทร์) ก็ตกได้แก่สามี(ขุนอุปพงษ์) ตามพินัยกรรมสามีย่อมมีสิทธิที่จะยกทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นได้ ไม่มีข้อผูกพันตาม กฎหมาย ที่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ)จำต้องยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ เพราะทรัพย์นั้นเป็นของสามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) โดยเด็ดขาด ตามกฎหมาย สามีมีสิทธิจะยกทรัพย์ให้ใครๆ ก็ได้แล้ว ต่อมาทำพินัยกรรมยกทรัพย์ไปให้ผู้อื่นมิได้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้กับภรรยา ว่าจะให้โจทก์ก็ตาม ก็ไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะข้อตกลงนั้นฟังได้อย่างมากก็เพียงว่าผู้ทำพินัยกรรมทั้งสองตกลงจะยกทรัพย์ให้แก่โจทก์เมื่อตาย แต่เมื่อมิได้ทำพินัยกรรมยกให้ไว้โดยตรงดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 536 แล้วก็ใช้บังคับไม่ได้ และเรื่องนี้เป็นการยกทรัพย์ให้กันตามพินัยกรรมไม่ใช่เรื่องคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374
ข้อผูกพันให้ทรัพย์ตกได้แก่โจทก์ใช้บังคับมิได้เพราะขัดต่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2498)
ดังนี้เมื่อภรรยา (นางจันทร์)ตายไปก่อน ทรัพย์มรดกของภรรยา(นางจันทร์) ก็ตกได้แก่สามี(ขุนอุปพงษ์) ตามพินัยกรรมสามีย่อมมีสิทธิที่จะยกทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นได้ ไม่มีข้อผูกพันตาม กฎหมาย ที่สามี(ขุนอุปพงษ์ฯ)จำต้องยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ เพราะทรัพย์นั้นเป็นของสามี(ขุนอุปพงษ์ฯ) โดยเด็ดขาด ตามกฎหมาย สามีมีสิทธิจะยกทรัพย์ให้ใครๆ ก็ได้แล้ว ต่อมาทำพินัยกรรมยกทรัพย์ไปให้ผู้อื่นมิได้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้กับภรรยา ว่าจะให้โจทก์ก็ตาม ก็ไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเพราะข้อตกลงนั้นฟังได้อย่างมากก็เพียงว่าผู้ทำพินัยกรรมทั้งสองตกลงจะยกทรัพย์ให้แก่โจทก์เมื่อตาย แต่เมื่อมิได้ทำพินัยกรรมยกให้ไว้โดยตรงดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 536 แล้วก็ใช้บังคับไม่ได้ และเรื่องนี้เป็นการยกทรัพย์ให้กันตามพินัยกรรมไม่ใช่เรื่องคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374
ข้อผูกพันให้ทรัพย์ตกได้แก่โจทก์ใช้บังคับมิได้เพราะขัดต่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานอนุญาตตัดไม้เกินอำนาจ ไม่ถือเป็นทำลายทรัพย์สินตาม ม.129 อาญา
จะมีความผิดตาม กฎหมายอาญา มาตรา 129 ก็ต่อเมื่อได้ความว่าผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ท่านใช้ให้มีหน้าที่ปกครองหรือพิทักษ์รักษาทรัพย์หรือหนังสืออย่างใดใด ถ้ามันมิได้มีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และมันทำลายทรัพย์หรือหนังสือนั้นๆ หรือทำให้วิปลาสบุบสลายหรือมันยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้นโดยมันรู้เห็นเป็นใจด้วยก็ดี จึงจะมีความผิด
เมื่อได้ความว่าจำเลยเป็นผู้รักษาการป่าไม้อำเภอ อนุญาตให้ผู้มีชื่อตัดไม้โดยไม่อยู่ในอำนาจที่จะอนุญาตได้เพียงเท่านี้จึงไม่ใช่เรื่องเจตนาทำลายทรัพย์หรือหนังสืออย่างใดตามความใน มาตรา 129 และเมื่อคดีไม่มีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยจะมีความผิดสถานอื่นอีกหรือไม่เพราะไม่มีฝ่ายใดฎีกา คดีจึงไม่มีทางลงโทษจำเลยได้
เมื่อได้ความว่าจำเลยเป็นผู้รักษาการป่าไม้อำเภอ อนุญาตให้ผู้มีชื่อตัดไม้โดยไม่อยู่ในอำนาจที่จะอนุญาตได้เพียงเท่านี้จึงไม่ใช่เรื่องเจตนาทำลายทรัพย์หรือหนังสืออย่างใดตามความใน มาตรา 129 และเมื่อคดีไม่มีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยจะมีความผิดสถานอื่นอีกหรือไม่เพราะไม่มีฝ่ายใดฎีกา คดีจึงไม่มีทางลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความและขอบเขตการบังคับคดี: ศาลอนุญาตบังคับคดีหนี้จากทรัพย์สินอื่นได้หากสัญญาไม่จำกัดเฉพาะทรัพย์จำนอง
เดิมโจทก์ฟ้องบังคับจำนอง ที่สุดโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมชำระให้โจทก์ภายใน 6 เดือน ศาลจึงพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยผิดสัญญาตามยอม โจทก์นำยึดทรัพย์จำเลยได้ไม่พอชำระหนี้ ดังนี้เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้กล่าวว่าจะบังคับเอาชำระหนี้ได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองกันไว้แล้วโจทก์ก็ชอบที่จะบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากทรัพย์ใดๆ ของจำเลยได้
อนึ่งเมื่อจำเลยปล่อยให้มีการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งแล้วจะยกเอาเหตุว่าจำเลยถูกหลอกลวงให้ทำสัญญาประนีประนอมขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้ เหตุดังกล่าวจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นเสียในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138
อนึ่งเมื่อจำเลยปล่อยให้มีการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาส่วนหนึ่งแล้วจะยกเอาเหตุว่าจำเลยถูกหลอกลวงให้ทำสัญญาประนีประนอมขึ้นในชั้นฎีกาไม่ได้ เหตุดังกล่าวจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นเสียในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์: เจ้าหนี้ต้องชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิงจากทรัพย์สินอื่น จึงจะไม่อนุญาตให้เฉลี่ยทรัพย์ซ้ำ
ในกรณีที่ร้องขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์ตาม ม. 290 วรร 1,2 นี้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นจะเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินไม่ได้ก็แต่ในกรณีที่ยังมีทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่และเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นนั้นยังอาจเอาชำระได้ จากทรัพย์สินอื่น ๆ นั้น
คำว่า "สามารถ+ชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ " นั้นหมายความว่าเอาชำระได้โดยสิ้นเชิง การได้ชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนหาใช่เป็นการสามารถเอาชำระหนี้ได้ตาม ม.290 วรรค 2 ไม่
ม.290 วรรค 2 บัญญัติไว้สำหรับห้ามเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นมิให้เข้ามาขอเฉลี่ยในกรณีที่ยังมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่อีก และเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นนั้น สามารถเอาชำระจากทรัพย์สินนั้นได้เท่านั้น
คำว่า "สามารถ+ชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ " นั้นหมายความว่าเอาชำระได้โดยสิ้นเชิง การได้ชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนหาใช่เป็นการสามารถเอาชำระหนี้ได้ตาม ม.290 วรรค 2 ไม่
ม.290 วรรค 2 บัญญัติไว้สำหรับห้ามเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นมิให้เข้ามาขอเฉลี่ยในกรณีที่ยังมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่อีก และเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นนั้น สามารถเอาชำระจากทรัพย์สินนั้นได้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์: เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นต้องไม่สามารถชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ได้ จึงจะขอเฉลี่ยทรัพย์ได้
ในกรณีที่ร้องขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์ตาม มาตรา 290 วรรค 1,2นี้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นจะเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินไม่ได้ก็แต่ในกรณีที่ยังมีทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่และเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นนั้นยังอาจเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่นๆ นั้น
คำว่า " สามารถชำระได้จากทรพย์สินอื่นๆ ของลูกหนี้ " นั้นหมายความว่าเอาชำระได้โดยสิ้นเชิง การได้ชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนหาใช่เป็นการสามารถเอาชำระหนี้ได้ตาม มาตรา 290 วรรคสองไม่
มาตรา 290 วรรคสองบัญญัติไว้สำหรับห้ามเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นมิให้เข้ามาขอเฉลี่ยในกรณีที่ยังมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่อีก และเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นนั้นสามารถเอาชำระจากทรัพย์สินนั้นได้เท่านั้น
คำว่า " สามารถชำระได้จากทรพย์สินอื่นๆ ของลูกหนี้ " นั้นหมายความว่าเอาชำระได้โดยสิ้นเชิง การได้ชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนหาใช่เป็นการสามารถเอาชำระหนี้ได้ตาม มาตรา 290 วรรคสองไม่
มาตรา 290 วรรคสองบัญญัติไว้สำหรับห้ามเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นมิให้เข้ามาขอเฉลี่ยในกรณีที่ยังมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่อีก และเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นนั้นสามารถเอาชำระจากทรัพย์สินนั้นได้เท่านั้น