คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลยกเลิกคุ้มครองชั่วคราวในเหตุฉุกเฉินถือเป็นที่สุด ไม่อุทธรณ์ฎีกาได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 คำสั่งศาลที่ให้ยกคำขอหรือยกเลิกคำสั่งคุ้มครองในเหตุฉุกเฉินนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ก็ตามย่อมเป็นที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 226 และ 249 กรณีข้อพิพาทเกินกรอบประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวของโจทก์ 2 ห้อง มีกำหนด 10 ปี ค่าเช่าห้องละ 100 บาทต่อเดือน บัดนี้ครบกำหนดสัญญาและโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออก ขอให้ขับไล่และชำระค่าเช่าที่ค้าง 2,000 บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 200 บาท นับแต่วันฟ้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา โดยจำเลยออกเงินช่วยค่าก่อสร้างแก่โจทก์ 68,000 บาท โจทก์ตกลงจะให้จำเลยเช่ามีกำหนด 30 ปี ทำสัญญาไว้ 10 ปีก่อน และจะต่อสัญญาเช่าอีกครั้งละ 10 ปี จนครบ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ทำหนังสือสัญญาเช่ากับจดทะเบียนการเช่าให้จำเลย ดังนี้ เป็นกรณีโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวที่ให้เช่าอันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องเดือนละ 200 บาท และเรียกค่าเช่าที่ค้าง 2,000 บาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไมได้ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างให้โจทก์ โจทก์จำเลยจึงไม่มีสัญญาต่างตอบแทนแก่กัน
จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์รับเงินช่วยค่าก่อสร้างจากจำเลย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นการต้องห้าม ซึ่งการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ และต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249
สำหรับข้อที่จำเลยอ้างในคำให้การและฟ้องแย้งว่า ตามสัญญาเช่าข้อ 12 โจทก์ให้คำมั่นแก่จำเลยว่า เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง โจทก์ยอมให้จำเลยขอเช่าต่อไปได้อีก และจำเลยได้บอกกล่าวแก่โจทก์ขอทำสัญญาเช่าต่อไปอีก 10 ปี โจทก์ตกลงแล้ว สัญญาเช่าจึงมีต่อไป นั้น แม้โจทก์จะให้การแก้ฟ้องแย้งปฏิเสธความข้อนี้ก็ตาม แต่เมื่อในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทตามสัญญาข้อ 12 ไว้ และจำเลยมิได้โต้แย้ง ครั้นศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ว่าศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้ ขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ซึ่งเป็นข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีครบทุกประเด็นที่พิพาทกันหรือไม่ ดังนี้อุทธรณ์ของจำเลยย่อมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โดยวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ขอต่ออายุการเช่ากับโจทก์ก่อนหมดอายุสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ต้องยินยอมให้จำเลยเช่าต่อไป จึงเป็นการไม่ชอบ และต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249
เมื่อศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยปัญหาซึ่งคู่ความจะอุทธรณ์ไม่ได้ อันเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย และให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงและประเด็นที่ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวของโจทก์ 2 ห้องมีกำหนด 10 ปี ค่าเช่าห้องละ 100 บาทต่อเดือนบัดนี้ครบกำหนดสัญญาและโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออก ขอให้ขับไล่และชำระค่าเช่าที่ค้าง 2,000 บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 200 บาทนับแต่วันฟ้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา โดยจำเลยออกเงินช่วยค่าก่อสร้างแก่โจทก์ 68,000 บาท โจทก์ตกลงจะให้จำเลยเช่ามีกำหนด 30 ปี ทำสัญญาไว้ 10 ปี ก่อนแล้วจะต่อสัญญาเช่าอีกครั้งละ 10 ปี จนครบ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ทำหนังสือสัญญาเช่ากับจดทะเบียนการเช่าให้จำเลย ดังนี้ เป็นกรณีโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวที่ให้เช่าอันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องเดือนละ 200 บาท และเรียกค่าเช่าที่ค้าง 2,000 บาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์และมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ชำระเงินช่วยค่าก่อสร้างให้โจทก์ โจทก์จำเลยจึงไม่มีสัญญาต่างตอบแทนแก่กันจำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์รับเงินช่วยค่าก่อสร้างจากจำเลย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นการต้องห้ามซึ่งการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ และต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249
สำหรับข้อที่จำเลยอ้างในคำให้การและฟ้องแย้งว่า ตามสัญญาเช่าข้อ 12 โจทก์ให้คำมั่นแก่จำเลยว่า เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง โจทก์ยอมให้จำเลยขอเช่าต่อไปได้อีกและจำเลยได้บอกกล่าวแก่โจทก์ขอทำสัญญาเช่าต่อไปอีก 10 ปี โจทก์ตกลงแล้ว สัญญาเช่าจึงมีต่อไป นั้น แม้โจทก์จะให้การแก้ฟ้องแย้งปฏิเสธความข้อนี้ก็ตาม แต่เมื่อในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทตามสัญญาข้อ 12 ไว้ และจำเลยมิได้โต้แย้งครั้นศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ว่าศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้ ขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ซึ่งเป็นข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีครบทุกประเด็นที่พิพาทกันหรือไม่ดังนี้อุทธรณ์ของจำเลยย่อมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โดยวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ไปขอต่ออายุการเช่ากับโจทก์ก่อนหมดอายุสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ต้องยินยอมให้จำเลยเช่าต่อไป จึงเป็นการไม่ชอบ และต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249
เมื่อศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยปัญหาซึ่งคู่ความจะอุทธรณ์ไม่ได้อันเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียและให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในข้อเท็จจริงขัดกับข้อจำกัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับแก้ไข) กรณีทุนทรัพย์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือจำเลยบังอาจร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ และจำเลยบังอาจร่วมกันขายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงตามฟ้องทุกประการ โจทก์นำพยานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่า นอกจากเฮโรอีนของกลางบรรจุซองพลาสติกซึ่งพลตำรวจ จ. ปลอมตัวไปซื้อแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยังค้นได้ธนบัตร ฉบับละ 10 บาท 2 ฉบับใช้ห่อเฮโรอีนไว้ 2 ห่อจากจำเลยอีก ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2514 ข้อ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดสิทธิในการฎีกาในข้อเท็จจริงตามทุนทรัพย์ภายหลังการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริง และได้ยื่นฎีกาหลังจากพระราชบัญญัติแก้ไขเะพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 ใช้บังคับแล้ว การพิจารณาว่าจำเลยจะฎีกาได้หรือไม่ต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่ยื่นฎีกา คดีนี้มีทุนทรัพย์ 48,881 บาท จำเลยจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2905/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาจำเลยอุทธรณ์เรื่องอายุความและฟ้องเคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามฎีกา
จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาคงอุทธรณ์แต่ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความแล้วเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์โดยมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงจึงชอบแล้ว
ฟ้องที่บรรยายครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว ย่อมไม่เคลือบคลุม
เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยฉ้อโกงโจทก์เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2517 โจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2518 ยังไม่เกิน 3 เดือนจึงยังไม่ขาดอายุความ จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าโจทก์ทราบว่าจำเลยฉ้อโกงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2512 แล้ว เป็นการฎีกาโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2780/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว และการบังคับคืนทรัพย์สินไม่ใช่ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ 11,106 บาท 24 สตางค์ แต่ในจำนวนเงินดังกล่าว 700 บาท จำเลยไม่ต้องชดใช้ เพราะคดีขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งเรื่องความรับผิดตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นหรือยกเป็นประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ ปัญหาในเรื่องความรับผิดจำนวนเงิน 11,106 บาท 24 สตางค์จึงยุติ ศาลอุทธรณ์เพียงวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดในรายการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ต้องรับผิดเพิ่มขึ้นอีก 1 รายการ จำนวนเงิน 1,000 บาท และวินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความ ให้จำเลยใช้เงิน 12,106 บาทเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามและฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แต่เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย ซึ่งไม่มีสิทธิ์จะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงนำอายุความตามมาตรา 448 ซึ่งใช้บังคับเฉพาะกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2780/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว และการกำหนดอายุความในการเรียกคืนทรัพย์สิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ 11,106 บาท24 สตางค์ แต่ในจำนวนเงินดังกล่าว 700 บาทจำเลยไม่ต้องชดใช้ เพราะคดีขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งเรื่องความรับผิดตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นหรือยกเป็นประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ ปัญหาในเรื่องความรับผิดจำนวนเงิน 11,106 บาท 24 สตางค์จึงยุติ ศาลอุทธรณ์เพียงวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดในรายการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ต้องรับผิดเพิ่มขึ้นอีก 1 รายการ จำนวนเงิน 1,000 บาท และวินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความ ให้จำเลยชดใช้เงิน12,106 บาทเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามและฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแต่เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงนำอายุความตามมาตรา 448 ซึ่งใช้บังคับเฉพาะกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2707/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาห้ามวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่างจากศาลชั้นต้น และความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารสิทธิ
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา334 จำคุก 1 ปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิเพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2642/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้สัตยาบันต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องจำเลยมิอาจยกข้อผิดระเบียบขึ้นมาอุทธรณ์ฎีกาได้
ข้อค้านว่าฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่โดยไม่มีคำร้องขออนุญาตก่อนเป็นการผิดระเบียบนั้น ถ้าจำเลยไม่คัดค้านในศาลชั้นต้น แต่กลับดำเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จเท่ากับให้สัตยาบันแล้ว จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ แต่ศาลอาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
of 303