พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,834 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังว่ามีการปล้นทรัพย์ ศาลยกฟ้องข้อหาปล้นทรัพย์ แต่ลงโทษทำร้ายร่างกาย
ข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ จึงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ไม่ได้อันเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยไม่มีฝ่ายใดฎีกาว่าจำเลยทั้งสามกับพวกรุมชกต่อยใช้ไม้และขวดเบียร์ตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายแก่กาย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่กายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดต่อเนื่อง ฉุดลาก ทำร้ายร่างกาย และหน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นกรรมเดียว
การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกใช้กำลังฉุดลากผู้เสียหายที่ 3 กับทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกันไม่ขาดตอนด้วยเจตนาฉุดลากผู้เสียหายที่ 3 ไปให้เป็นผลสำเร็จเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10298-10299/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างวิธีการทำร้ายไม่กระทบสาระสำคัญคดีอาญา หากยังคงเป็นการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย
แม้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่าจำเลยทำร้ายโจทก์ที่ 2 โดยการชกต่อย แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทำร้ายโจทก์ที่ 2 โดยการเตะ ก็มิใช่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ อันเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้อง เพราะเป็นเพียงข้อแตกต่างในวิธีการประทุษร้ายซึ่งสาระสำคัญอยู่ที่ว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายโจทก์ที่ 2 จริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 2 ในชั้นพิจารณาจึงหาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่กล่าวในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาเจตนาทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และการรับฟังพยานบอกเล่าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ให้การว่าเหตุที่จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมแทงผู้เสียหายเพราะจำเลยสืบทราบว่า ผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการฆ่าญาติของจำเลยเป็นพยานบอกเล่าต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานและไม่มีเหตุเข้าข้อยกเว้นให้รับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยไม่มีเจตนาไตร่ตรอง การรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนที่เป็นพยานบอกเล่า
คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ให้การว่าเหตุที่จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมแทงผู้เสียหายเพราะจำเลยสืบทราบว่า ผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการฆ่าญาติของจำเลยเป็นพยานบอกเล่า ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานและไม่มีเหตุเข้าข้อยกเว้นให้รับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6711-6712/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน: พฤติการณ์ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในร้าน
จำเลยทั้งสองทำร้ายผู้เสียหายในขณะนั่งอยู่ในร้านที่เกิดเหตุแล้วตามมาทำร้ายผู้เสียหายที่หน้าร้านโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน ทั้งจำเลยทั้งสองร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายสืบเนื่องมาจากผู้เสียหายพูดกับจำเลยที่ 1 ในทำนองว่า อย่ามองหน้าเดี๋ยวจะมีปัญหาซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในร้านที่เกิดเหตุ ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองเข้าทำร้ายผู้เสียหายจึงมิใช่เป็นการตระเตรียมการมาก่อน แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้กระทำต่อผู้เสียหายในทันทีทันใดแต่เมื่อผู้เสียหายเผลอ จำเลยที่ 1 จึงเข้าเตะที่ต้นคอด้านหลัง ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้มีดดาบฟันผู้เสียหายอันเป็นการกระทำหลังจากผู้เสียหายต่อว่าจำเลยที่ 1 ในเวลาต่อเนื่องกันยังไม่ขาดตอน ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6494/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะของเจ้าพนักงานตำรวจหลังถูกทำร้ายและเหตุการณ์ต่อเนื่อง ศาลฎีกาพิจารณาโทษกรรมเดียว
ผู้เสียหายที่ 4 เป็นผู้ก่อเหตุขึ้นก่อนโดยกระโดดถีบหน้าอกจำเลย แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 4 เห็นจำเลยชักปืนพกออกมาจึงร้องบอกให้ผู้เสียหายอื่นทราบ แล้วผู้เสียหายทั้งสี่ต่างก็วิ่งหนีเช่นนี้ ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่มีต่อจำเลยจึงไม่มีต่อไปแล้ว การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสี่หลายนัดและกระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ 3 ที่ด้านหลังของต้นขาขวา ทำให้ผู้เสียหายที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายอื่น อันแสดงให้เห็นว่าเป็นการยิงขณะผู้เสียหายทั้งสี่หันหลังให้จำเลย การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงหาเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ แต่เห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะผู้เสียหายทั้งสี่อยู่ในวัยรุ่นและจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจด้วย แม้ผู้เสียหายทั้งสี่จะไม่รู้ก็ตาม ทั้งเหตุแต่แรกก็เป็นสาเหตุเล็กน้อยเพียงแต่โต้เถียงกันเรื่องขวางทางเดินเท่านั้น การที่ผู้เสียหายทั้งสี่กลับมาพบจำเลยในที่เกิดเหตุอีก แล้วผู้เสียหายที่ 4 กระโดดถีบหน้าอกจำเลยเช่นนี้ ย่อมทำให้จำเลยโกรธเพราะถือว่าเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรีของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีลักษณะเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสี่ทันทีในขณะผู้เสียหายทั้งสี่วิ่งหนี จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 ในขณะที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนั้น ผู้เสียหายที่ 3 อยู่ห่างจำเลยเพียง 2 ถึง 3 เมตร ส่วนผู้เสียหายอื่นก็อยู่ห่างจำเลยเพียง 5 เมตร ถึง 6 เมตร เท่านั้น จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืนมากกว่าบุคคลทั่วไปและได้ยิงถึง 6 นัด แต่กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ 3 เพียงคนเดียวและถูกที่ด้านหลังของต้นขาขวา ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่สำคัญอันไม่สามารถทำให้ถึงตายได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายผู้เสียหายทั้งสี่เท่านั้น เมื่อปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัสจากการถูกยิง ส่วนผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) ประกอบมาตรา 72 และพยายามทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบมาตรา 80 และ 72 อันเป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ. มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3300/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริง และการวินิจฉัยความผิดฐานบุกรุกและทำร้ายร่างกาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297, 364, 365 (1) (2) ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 297 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานบุกรุก ให้ยกฟ้องในความผิดฐานนี้ และพิพากษาลดโทษจำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส คงจำคุก 4 เดือน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แก้โทษของความผิดในบทหนักอันเป็นบทที่ศาลชั้นต้นลงโทษแม้จะยกฟ้องความผิดในบทที่เบากว่า ก็ต้องถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและคงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาพอฟังว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานบุกรุกเป็นการโต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3270/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขับรถประมาทเฉี่ยวชนเจ้าพนักงาน แต่เจตนาไม่ใช่ฆ่า เป็นความผิดพยายามทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่พยายามฆ่า
ตามพฤติการณ์จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นได้ว่า รถที่จำเลยที่ 1 ขับอาจเฉี่ยวชนผู้เสียหายให้ได้รับอันตรายแก่กายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ไม่เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่
คำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ แม้จะระบุคำขอท้ายฟ้องให้นับโทษต่อก็เป็นคำขอที่ไม่มีข้อเท็จจริงในคำฟ้องเพราะคำฟ้องมิได้บรรยายไว้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่ขอให้นับโทษต่อข้อความที่โจทก์ระบุมาในคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องอื่นที่มิได้ระบุว่าขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในส่วนดังกล่าวเป็นเพียงคำอธิบายและเหตุผลของโจทก์ในการขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องไม่อาจถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบรรยายมาในคำฟ้องโจทก์แล้ว โจทก์จะขอให้ถือเอาคำขอท้ายฟ้องซึ่งมีข้อเท็จจริงนอกเหนือไปกว่าที่กล่าวไว้ในฟ้องไปนับโทษติดต่อกันเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้
คำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ แม้จะระบุคำขอท้ายฟ้องให้นับโทษต่อก็เป็นคำขอที่ไม่มีข้อเท็จจริงในคำฟ้องเพราะคำฟ้องมิได้บรรยายไว้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่ขอให้นับโทษต่อข้อความที่โจทก์ระบุมาในคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องอื่นที่มิได้ระบุว่าขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในส่วนดังกล่าวเป็นเพียงคำอธิบายและเหตุผลของโจทก์ในการขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องไม่อาจถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบรรยายมาในคำฟ้องโจทก์แล้ว โจทก์จะขอให้ถือเอาคำขอท้ายฟ้องซึ่งมีข้อเท็จจริงนอกเหนือไปกว่าที่กล่าวไว้ในฟ้องไปนับโทษติดต่อกันเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1257/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุกเคหสถานและทำร้ายร่างกาย การให้มีดสปาร์ต้าแก่ผู้อื่นถือเป็นความผิดร่วม
จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 3 เข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 เพื่อจะทำร้ายฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งอยู่ในบ้าน แม้จำเลยที่ 4 จะไม่ได้ใช้มีดสปาร์ต้าที่ถือมาฟันเด็กชาย น. จำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่การที่จำเลยที่ 4 ให้มีดดังกล่าวแก่จำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 3 ใช้มีดนั้นฟันเด็กชาย น. จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย หลังจากนั้นก็หลบหนีไป ด้วยกัน จำเลยที่ 4 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 3 เข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 เพื่อทำร้ายฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งอยู่ภายในบ้าน จึงมีความผิดฐานบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธ และฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้มีเรื่องกับจำเลยที่ 4 แต่มีเรื่องกับจำเลยที่ 3 และผู้ตาย ทั้งในขณะนั้นจำเลยที่ 1 ก็อยู่ภายในบ้านของจำเลยที่ 2 มิได้ก่อให้เกิดภยันตรายแก่ผู้ใดอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายที่จะต้องป้องกัน การที่จำเลยที่ 4 ให้มีดสปาร์ต้าแก่จำเลยที่ 3 และเข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ด้วย แล้วจำเลยที่ 3 ใช้มีดดังกล่าวฟันจำเลยที่ 1 ที่ 2 และเด็กชาย น. จึงเป็นการเข้าไปโดยมีเจตนาที่จะทำร้ายบุคคลที่อยู่ภายในบ้าน เป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร มิใช่มีเหตุสมควรอันจะทำให้การกระทำของจำเลยที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้มีเรื่องกับจำเลยที่ 4 แต่มีเรื่องกับจำเลยที่ 3 และผู้ตาย ทั้งในขณะนั้นจำเลยที่ 1 ก็อยู่ภายในบ้านของจำเลยที่ 2 มิได้ก่อให้เกิดภยันตรายแก่ผู้ใดอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายที่จะต้องป้องกัน การที่จำเลยที่ 4 ให้มีดสปาร์ต้าแก่จำเลยที่ 3 และเข้าไปในบ้านของจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ด้วย แล้วจำเลยที่ 3 ใช้มีดดังกล่าวฟันจำเลยที่ 1 ที่ 2 และเด็กชาย น. จึงเป็นการเข้าไปโดยมีเจตนาที่จะทำร้ายบุคคลที่อยู่ภายในบ้าน เป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร มิใช่มีเหตุสมควรอันจะทำให้การกระทำของจำเลยที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน