พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาล้มละลายหลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แม้มีการอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
พ.ร.บ.ล้มละลาย ฯ มาตรา 61 เป็นบทบังคับให้ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายทันที เมื่อได้ดำเนินคดีตามขั้นตอนของมาตราดังกล่าวครบถ้วนแล้วส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาไม่กระทบกระเทือนถึงการที่ศาลชั้นต้นจะดำเนินคดีล้มละลายต่อไปตามขั้นตอน เพราะคดีล้มละลายต้องกระทำโดยเร่งด่วน ตามมาตรา 13 หากต่อมาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเปลี่ยนแปลงไป คำพิพากษาให้จำเลยล้มละลายก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะการล้มละลายเริ่มต้นมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 62.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 705/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์การประเมินภาษีทำให้จำเลยไม่มีสิทธิอ้างเหตุผลต่อสู้คดีในศาล
จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินหรือขอให้ผู้มีอำนาจตามที่ระบุไว้ในมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ จำเลยจึงไม่อาจนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ตามมาตรา 31 และการนำคดีขึ้นสู่ศาลหมายความรวมถึงการต่อสู้คดีเมื่อถูกฟ้องด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม, การชำระหนี้, และข้อจำกัดในการอุทธรณ์คดีแรงงาน
หนังสือเลิกจ้างระบุเหตุเลิกจ้างโจทก์ว่า จำเลยไม่มีความจำเป็นที่จะจ้างโจทก์ต่อไป การที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยมีความจำเป็นต้องยุบเลิกตำแหน่งของโจทก์เพื่อปรับภาวะทางเศรษฐกิจของจำเลยจึงเป็นสาเหตุเดียวกัน แม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยสาเหตุอื่นมาด้วยก็ไม่เป็นการนอกเหนือเหตุในหนังสือเลิกจ้าง และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลอันสมควรไม่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยเสนอที่จะจ่ายเงินจำนวน 78,000 บาท ให้แก่โจทก์เมื่อเลิกจ้างโดยไม่มีความผูกพันจะต้องจ่าย แต่โจทก์ไม่สนองรับโดยมีหนังสือถึงธนาคารที่รับฝากเงินเดือนของโจทก์ห้ามมิให้รับเงินที่จำเลยจะจ่ายเข้าบัญชีของโจทก์ คำเสนอของจำเลยจึงสิ้นความผูกพันนับแต่วันที่โจทก์ปฏิเสธ จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์อีก จำเลยเสนอจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับจำนวนตามฟ้องโดยจะนำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ แต่โจทก์กลับมีหนังสือถึงธนาคารมิให้ยอมรับเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ ดังนี้ เป็นกรณีที่จำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว เมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่รับชำระโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์จึงตกเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในเงินค่าชดเชยนับแต่วันที่จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 221
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6487-6488/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาต้องกระทำด้วยตนเอง ห้ามมอบอำนาจให้ผู้อื่นสาบานตัวแทน
ผู้ที่จะฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาจะต้องสาบานตัวด้วยตันเองจะมอบให้ผู้อื่นสาบานตัวแทนไม่ได้ เพราะการสาบานเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่จะต้องกระทำด้วยตนเอง การที่ ส.ผู้รับมอบอำนาจสาบานตัวให้คำชี้แจงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แทนจำเลยทั้งสามจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6110/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลใช้ดุลพินิจงดสืบพยานได้ หากไม่โต้แย้งทันเวลา อุทธรณ์ไม่ได้
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยนั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่า สมควรจะสืบพยานหรือไม่มิใช่เป็นเรื่งอการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎมหายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 และคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึง 6 วัน แต่มิได้โต้แย้งไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6109/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการวางค่าฤชาธรรมเนียมและชำระเงินตามคำพิพากษา ทำให้ถือว่าทิ้งคำร้องอุทธรณ์
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยว่าให้จำเลยนำค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาวางศาลภายในกำหนด 7 วัน ย่อมหมายถึงให้นำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อ ศาลตามที่บังคับไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ในวันครบกำหนดจำเลยคงนำแต่ค่าฤชาธรรมเนียมที่ใช้แทนโจทก์มาวางศาลเท่านั้น มิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือประกันให้ไว้ต่อศาล ถือได้ว่าจำเลยทิ้งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6061/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างต่างชาติ การอุทธรณ์นอกเหนือคำวินิจฉัย และข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีแรงงาน
เอกสารที่บริษัทจำเลยมีไปถึงโจทก์ยังต่างประเทศมีข้อความว่า จำเลยขอว่าจ้างโจทก์ให้มาทำงานกับจำเลยในตำแหน่งหัวหน้าแผนกรับผิดชอบแผนกช่างซ่อมเป็นเวลา 2 ปี เงินเดือน 45,000 เหรียญใต้หวันเป็นคำเสนอจ้างโจทก์ให้มาทำงานกับจำเลย เมื่อโจทก์ได้เดินทางเข้ามาทำงานกับจำเลยในประเทศไทยแล้ว ข้อเสนอต่าง ๆ ในเอกสารดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับและผูกพันโจทก์จำเลยให้ต้องปฏิบัติถือได้ว่าโจทก์จำเลยได้มีสัญญาจ้างต่อกันแล้ว ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า กำหนดระยะเวลาจ้าง 2 ปีที่กำหนดไว้ในเอกสารท้ายฟ้องขัดต่อกฎหมายนั้น จำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ส่วนข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ลาออกจากงานเอง จำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์นั้น ก็ปรากฏว่าจำเลยให้การและศาลแรงกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยให้โจทก์ออกจากงาน อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงนอกเหนือไปจากคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอาญาและการจำกัดอำนาจศาลอุทธรณ์ในการเพิ่มโทษ รวมถึงข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 2 ปี และริบมีดของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทกฎหมายที่ลงโทษเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ส่วนโทษจำคุกยังคงเท่ากับที่ศาลชั้นต้นกำหนด เป็นการแก้ไขเล็กน้อยเมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกัน จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น มิใช่เป็นการป้องกันสิทธิของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ศาลอุทธรณ์คงมีอำนาจวางบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น
ฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกัน จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น มิใช่เป็นการป้องกันสิทธิของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ศาลอุทธรณ์คงมีอำนาจวางบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5555/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีภาษีอากรต้องรอการวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อน แม้โจทก์เป็นกรมสรรพากร
ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลภาษีอากรกลางก่อนที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ของจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 8 บัญญัติถึงการฟ้องคดีตามมาตรา 7(1) ต่อศาลภาษีอากรว่าจะต้องมีการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อนและบทกฎหมายมาตรานี้ หาได้บังคับเฉพาะผู้ถูกประเมินแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ ดังนั้นเมื่อจำเลยได้ใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางตามบทกฎหมายดังกล่าว
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 8 บัญญัติถึงการฟ้องคดีตามมาตรา 7(1) ต่อศาลภาษีอากรว่าจะต้องมีการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อนและบทกฎหมายมาตรานี้ หาได้บังคับเฉพาะผู้ถูกประเมินแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ ดังนั้นเมื่อจำเลยได้ใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5555/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีภาษีอากรต้องรอการวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อน
ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลภาษีอากรกลางก่อนที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยหรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้พระราชบัญญัติ ญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 8 บัญญัติถึงการฟ้องคดีตามมาตรา 7(1) ต่อศาลภาษีอากรว่าจะต้องมีการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อนและบทกฎหมายมาตรานี้หาได้บังคับเฉพาะผู้ถูกประเมินแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ ดังนั้นเมื่อจำเลยได้ใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางตามบทกฎหมายดังกล่าว