พบผลลัพธ์ทั้งหมด 347 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3803/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุมในคดีละเมิดจากการหลอกลวงให้เชื่อว่ามีการกู้ยืมเงินโดยมิชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมาขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ โดยเอาหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันโจทก์ตกลง ให้กู้ยืมแต่เห็นว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวมีชื่ออ. เป็นเจ้าของที่ดิน จึงมอบหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่กรอกข้อความ แล้วให้จำเลยเอาไปให้อ.ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ จำเลยนำ หนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไปแล้วนำมาคืนให้โจทก์โดยใช้อุบาย หลอกลวงโจทก์ว่าอ.ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้แล้วโจทก์หลงเชื่อจึงให้เงินแก่จำเลยและยึดถือหนังสือสัญญากู้ยืมเงินไว้ต่อมาเมื่อหนี้ ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินถึงกำหนดชำระแล้ว โจทก์ทวงถามให้ อ. ชำระหนี้แต่อ. ปฏิเสธว่าไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ลายมือชื่อ อ. ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายมือชื่อปลอมการที่จำเลยใช้อุบาย หลอกลวงโจทก์ให้หลงเชื่อดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องเป็นเรื่องที่ขอให้ จำเลยรับผิดในมูลละเมิด เป็นคำฟ้องที่แสดงสภาพแห่งข้อหาและ คำขอบังคับตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยแจ้งชัด แม้จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารที่กล่าวในคำบรรยายฟ้องมาพร้อม คำฟ้องด้วยคำฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3464/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงิน หนังสือสัญญาจำนองใช้เป็นหลักฐานได้ แม้ทำหลังการกู้
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมิใช่แบบของนิติกรรม ทั้งกฎหมายก็มิได้บัญญัติว่าหลักฐานนั้นจะต้องมีในขณะที่ให้กู้ยืม หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือจึงอาจมีก่อนหรือหลังการกู้ยืมเงินก็ได้
จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ เพื่อเป็นประกัน การชำระหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ เมื่อหนังสือสัญญาจำนอง ระบุให้ถือเอาสัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้เงินด้วยและจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินที่กู้จากโจทก์ ดังนี้ หนังสือสัญญาจำนองนั้นย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ เพื่อเป็นประกัน การชำระหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ เมื่อหนังสือสัญญาจำนอง ระบุให้ถือเอาสัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้เงินด้วยและจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินที่กู้จากโจทก์ ดังนี้ หนังสือสัญญาจำนองนั้นย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3464/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือ อาจมีก่อนหรือหลังการกู้ และสัญญาจำนองใช้เป็นหลักฐานได้
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมิใช่แบบของนิติกรรมทั้งกฎหมาย ก็มิได้บัญญัติว่าหลักฐานนั้นจะต้องมีในขณะ ที่ให้กู้ยืม หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือจึงอาจ มีก่อนหรือหลังการกู้ยืมเงินก็ได้
จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ เพื่อเป็นประกัน การชำระหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์เมื่อหนังสือสัญญาจำนอง ระบุให้ถือเอาสัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้เงินด้วยและจำเลยที่ 1มิได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินที่กู้จากโจทก์ดังนี้ หนังสือสัญญาจำนองนั้น ย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ เพื่อเป็นประกัน การชำระหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์เมื่อหนังสือสัญญาจำนอง ระบุให้ถือเอาสัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้เงินด้วยและจำเลยที่ 1มิได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินที่กู้จากโจทก์ดังนี้ หนังสือสัญญาจำนองนั้น ย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2757/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงินต้องชัดเจนว่ามีเจตนาจะกู้ยืมและชำระคืน เอกสารเพียงแค่การจ่ายเช็คไม่ถือเป็นหลักฐาน
เช็คที่จำเลยลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายมอบให้แก่โจทก์ก็ดี หรือเช็คที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยและจำเลยนำไปรับเงินแล้วก็ดี ไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
ความในเอกสารมีว่า คุณอาจิน (โจทก์) ที่นับถือ ผม(จำเลย) ให้สุวพรมาหา ผมกำลังวิ่งหาซื้อของจะขึ้นไปหน่วยงาน ที่ผมเรียนไว้เมื่อเช้าว่าจะเอาคืนก่อน 400,000 ผมคิดรายการที่จำเป็นจะต้องใช้ดูไม่ค่อยพอดี จึงเขียนเช็คมาให้ 450,000 ขอให้คุณอาจิณจ่ายธนาคารเอเซียทรัสต์ ผมจะให้สุวพรไปทำแคชเชียร์เช็คจากธนาคารเช่นนี้ ไม่มีข้อความตอนใดพอที่จะแสดงว่ามีการกู้ยืมเงินกัน หรือจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์จะใช้เงินคืนให้โจทก์ เอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืม
ความในเอกสารมีว่า คุณอาจิน (โจทก์) ที่นับถือ ผม(จำเลย) ให้สุวพรมาหา ผมกำลังวิ่งหาซื้อของจะขึ้นไปหน่วยงาน ที่ผมเรียนไว้เมื่อเช้าว่าจะเอาคืนก่อน 400,000 ผมคิดรายการที่จำเป็นจะต้องใช้ดูไม่ค่อยพอดี จึงเขียนเช็คมาให้ 450,000 ขอให้คุณอาจิณจ่ายธนาคารเอเซียทรัสต์ ผมจะให้สุวพรไปทำแคชเชียร์เช็คจากธนาคารเช่นนี้ ไม่มีข้อความตอนใดพอที่จะแสดงว่ามีการกู้ยืมเงินกัน หรือจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์จะใช้เงินคืนให้โจทก์ เอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3371/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกหนี้เนื่องจากประพฤติผิดวินัยร้ายแรงจากการกู้ยืมเงินลูกค้าโดยอาศัยอำนาจหน้าที่
จำเลยประกอบกิจการธนาคาร มีคำสั่งห้ามพนักงานกระทำการเบียดเบียนลูกค้า โจทก์เป็นพนักงานสินเชื่อซึ่งอำนาจหน้าที่ ของโจทก์มีส่วนเป็นคุณและเป็นโทษแก่ลูกค้าได้ โจทก์กู้ยืมเงินลูกค้าถึง 14 ราย เป็นเงิน 37,700 บาท หากโจทก์มีความจำเป็นต้องใช้เงินโดยสุจริตก็อาจกู้ยืมเพียงรายหนึ่งหรือสองรายก็น่าจะได้เงินพอกับจำนวนที่ต้องการ การกระทำของโจทก์จึงเป็นการเบียดเบียนลูกค้าโดยอาศัยอำนาจหน้าที่และเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยอันเป็น กรณีร้ายแรง จำเลยมีอำนาจเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3371/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกหนี้ที่กู้ยืมเงินลูกค้าโดยมิชอบ นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
จำเลยประกอบกิจการธนาคาร มีคำสั่งห้ามพนักงานกระทำการเบียดเบียนลูกค้า โจทก์เป็นพนักงานสินเชื่อซึ่งอำนาจหน้าที่ ของโจทก์มีส่วนเป็นคุณและเป็นโทษแก่ลูกค้าได้ โจทก์ กู้ยืมเงินลูกค้าถึง 14 ราย เป็นเงิน 37,700 บาท หากโจทก์มีความจำเป็นต้องใช้เงินโดยสุจริตก็อาจกู้ยืม เพียงรายหนึ่งหรือสองรายก็น่าจะได้เงินพอกับจำนวนที่ ต้องการ การกระทำของโจทก์จึงเป็นการเบียดเบียนลูกค้าโดย อาศัยอำนาจหน้าที่และเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยอันเป็น กรณีร้ายแรง จำเลยมีอำนาจเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่าย ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3147/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมกู้ยืมเงินและการสลักหลังเช็ค/ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อประกันการเล่นหุ้น ไม่เป็นนิติกรรมอำพราง
จำเลยต้องการตั๋วสัญญาใช้เงินมาวางเป็นหลักทรัพย์ประกันในการเล่นหุ้นต่อโจทก์จึงได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ โจทก์ได้ออกเช็คตามจำนวนเงินที่กู้แก่จำเลยแล้ว จำเลยมิได้นำเช็คไปรับเงินจากธนาคาร แต่สลักหลังให้โจทก์เพื่อฝากเงินไว้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่จำเลยเพื่อนำไปวางเป็นหลักทรัพย์ประกันในการเล่นหุ้นต่อโจทก์ดังนี้ การที่จำเลยกู้เงินจากโจทก์แล้วฝากเงินไว้แก่โจทก์ แม้จะมีผลทำให้จำเลยเป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้โจทก์ในขณะเดียวกันก็เป็นความสมัครใจของจำเลยเองวัตถุที่ประสงค์ของนิติกรรมไม่เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมายเพื่อเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดีของประชาชนเมื่อสัญญากู้ที่จำเลยทำขึ้นกับโจทก์เป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นโดยตั้งใจจะให้มีผลผูกพันมิได้มีการอำพรางนิติกรรมอื่นใดจึงมิใช่นิติกรรมอำพราง จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญากู้ จะอ้างว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2065/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบเมื่ออ้างนิติกรรมอำพราง: จำเลยต้องพิสูจน์ข้ออ้าง หากศาลเชื่อว่ากู้ยืมเงินจริง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยโดยอาศัยหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสือ จำเลยให้การว่าหลักฐานการกู้ยืมที่ทำ ขึ้นนั้นเป็นนิติกรรมอำพรางในการที่สามีโจทก์มอบเงินให้ จำเลยไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาหญิงส่งไปเป็นนางบำเรอพวก เศรษฐีในฮ่องกง เป็นมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่มีมูลหนี้ ต่อกัน โจทก์ไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีเอาแก่จำเลยได้ ดังนี้ เท่ากับจำเลยรับว่าได้ทำเอกสารซึ่งเป็นหลักฐานที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปตามฟ้องแล้ว แต่จำเลยกล่าวอ้าง ข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าเป็นเงินที่สามีโจทก์มอบให้จำเลย เพื่อให้กระทำการในสิ่งที่ขัดขวางต่อ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆเพื่อสนับสนุนคำให้การของ ตน หน้าที่นำสืบย่อมตกอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่ กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ทั้งนี้ตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1560/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นแล้วยึดหุ้นเป็นประกันเข้าข่ายผิดกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายธุรกิจหลักทรัพย์
โจทก์จัดการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยเป็นตัวแทนและนายหน้าของลูกค้า โดยโจทก์ให้บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็น สมาชิกตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการแทนโจทก์หาใช่เป็นการจัด ให้มีตลาดหรือสถานที่อันเป็นศูนย์กลางการซื้อหรือขาย หลักทรัพย์หรือให้บริการที่เกี่ยวกับการจัดให้มีตลาดหรือ สถานที่ดังกล่าวตามความหมายของพระราชบัญญัติ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517 มาตรา 3 ไม่โจทก์ย่อมกระทำการดังกล่าวได้โดยชอบ
การที่โจทก์ให้จำเลยกู้เงินไปเพื่อซื้อหุ้นของบริษัทโจทก์เอง โดยโจทก์ ยึดถือหุ้นนั้นไว้เป็นจำนำหรือเป็นประกันเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายซื้อหุ้น หรือโจทก์ให้จำเลยกู้เงิน จากบริษัทในเครือของบริษัทโจทก์ โดยเงินที่กู้เป็นเงิน ของบริษัทโจทก์ให้บริษัทในเครือดังกล่าวกู้ไปให้จำเลย กู้ อีกต่อหนึ่ง ทั้งหุ้นที่จำเลยจำนำแก่บริษัทในเครือดังกล่าวโจทก์เป็น ผู้ยึดถือไว้เอง พฤติการณ์เช่นนี้ถือ ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้จำเลยกู้ยืมเงินไปซื้อหุ้นของ บริษัทโจทก์และโจทก์รับจำนำหุ้นของตนเองเป็นประกัน เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1143 ทั้งต่อมาพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์และ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 20(3)บัญญัติห้ามมิให้บริษัทเงินทุน รับหุ้นของ บริษัทเงินทุนนั้นเองเป็นประกันหรือรับหุ้นของบริษัทเงินทุน จากบริษัทเงินทุนอื่นเป็นประกันอีกด้วย การกระทำของ โจทก์จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ไม่มีผลบังคับ โจทก์จะอ้างเป็นมูลเรียกร้องให้ จำเลยชดใช้เงินที่โจทก์ฟ้องมิได้
การที่โจทก์ให้จำเลยกู้เงินไปเพื่อซื้อหุ้นของบริษัทโจทก์เอง โดยโจทก์ ยึดถือหุ้นนั้นไว้เป็นจำนำหรือเป็นประกันเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายซื้อหุ้น หรือโจทก์ให้จำเลยกู้เงิน จากบริษัทในเครือของบริษัทโจทก์ โดยเงินที่กู้เป็นเงิน ของบริษัทโจทก์ให้บริษัทในเครือดังกล่าวกู้ไปให้จำเลย กู้ อีกต่อหนึ่ง ทั้งหุ้นที่จำเลยจำนำแก่บริษัทในเครือดังกล่าวโจทก์เป็น ผู้ยึดถือไว้เอง พฤติการณ์เช่นนี้ถือ ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้จำเลยกู้ยืมเงินไปซื้อหุ้นของ บริษัทโจทก์และโจทก์รับจำนำหุ้นของตนเองเป็นประกัน เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1143 ทั้งต่อมาพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์และ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 20(3)บัญญัติห้ามมิให้บริษัทเงินทุน รับหุ้นของ บริษัทเงินทุนนั้นเองเป็นประกันหรือรับหุ้นของบริษัทเงินทุน จากบริษัทเงินทุนอื่นเป็นประกันอีกด้วย การกระทำของ โจทก์จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ไม่มีผลบังคับ โจทก์จะอ้างเป็นมูลเรียกร้องให้ จำเลยชดใช้เงินที่โจทก์ฟ้องมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1560/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นของตนเองและรับจำนำหุ้นเป็นประกัน ขัดต่อกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายธุรกิจหลักทรัพย์
โจทก์จัดการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยเป็นตัวแทนและนายหน้าของลูกค้า โดยโจทก์ให้บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็น สมาชิกตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการแทนโจทก์หาใช่เป็นการจัด ให้มีตลาดหรือสถานที่อันเป็นศูนย์กลางการซื้อหรือขาย หลักทรัพย์หรือให้บริการที่เกี่ยวกับการจัดให้มีตลาดหรือ สถานที่ดังกล่าวตามความหมายของ พระราชบัญญัติ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517 มาตรา 3 ไม่ โจทก์ย่อมกระทำการดังกล่าวได้โดยชอบ
การที่โจทก์ให้จำเลยกู้เงินไปเพื่อซื้อหุ้นของบริษัท โจทก์เองโดยโจทก์ ยึดถือหุ้นนั้นไว้เป็นจำนำหรือเป็นประกัน เงินที่โจทก์ทดรองจ่ายซื้อหุ้น หรือโจทก์ให้จำเลยกู้เงิน จากบริษัทในเครือของบริษัทโจทก์โดยเงิน ที่กู้เป็นเงิน ของบริษัทโจทก์ให้บริษัทในเครือดังกล่าวกู้ไปให้จำเลย กู้ อีกต่อหนึ่ง ทั้งหุ้นที่จำเลยจำนำแก่บริษัทในเครือ ดังกล่าว โจทก์เป็น ผู้ยึดถือไว้เอง พฤติการณ์เช่นนี้ถือ ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้จำเลยกู้ยืมเงินไปซื้อหุ้นของ บริษัทโจทก์และโจทก์รับจำนำหุ้นของตนเองเป็นประกัน เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1143 ทั้งต่อมา พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 20(3) บัญญัติห้ามมิให้บริษัทเงินทุน รับหุ้นของ บริษัทเงินทุนนั้นเองเป็นประกันหรือรับหุ้นของบริษัทเงินทุน จากบริษัทเงินทุนอื่นเป็นประกันอีกด้วย การกระทำของ โจทก์จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ไม่มีผลบังคับ โจทก์จะอ้างเป็นมูลเรียกร้องให้ จำเลยชดใช้เงินที่โจทก์ฟ้องมิได้
การที่โจทก์ให้จำเลยกู้เงินไปเพื่อซื้อหุ้นของบริษัท โจทก์เองโดยโจทก์ ยึดถือหุ้นนั้นไว้เป็นจำนำหรือเป็นประกัน เงินที่โจทก์ทดรองจ่ายซื้อหุ้น หรือโจทก์ให้จำเลยกู้เงิน จากบริษัทในเครือของบริษัทโจทก์โดยเงิน ที่กู้เป็นเงิน ของบริษัทโจทก์ให้บริษัทในเครือดังกล่าวกู้ไปให้จำเลย กู้ อีกต่อหนึ่ง ทั้งหุ้นที่จำเลยจำนำแก่บริษัทในเครือ ดังกล่าว โจทก์เป็น ผู้ยึดถือไว้เอง พฤติการณ์เช่นนี้ถือ ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้จำเลยกู้ยืมเงินไปซื้อหุ้นของ บริษัทโจทก์และโจทก์รับจำนำหุ้นของตนเองเป็นประกัน เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1143 ทั้งต่อมา พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 20(3) บัญญัติห้ามมิให้บริษัทเงินทุน รับหุ้นของ บริษัทเงินทุนนั้นเองเป็นประกันหรือรับหุ้นของบริษัทเงินทุน จากบริษัทเงินทุนอื่นเป็นประกันอีกด้วย การกระทำของ โจทก์จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ไม่มีผลบังคับ โจทก์จะอ้างเป็นมูลเรียกร้องให้ จำเลยชดใช้เงินที่โจทก์ฟ้องมิได้