คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข่มขืน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 436 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราแม้ได้รับความยินยอมพักนอนนอกชานแล้ว การบุกรุกเข้าไปในห้องนอนถือเป็นความผิดฐานบุกรุก
ผู้เสียหายยอมให้จำเลยพักนอนที่นอกชานเท่านั้น การที่จำเลย เข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานบุกรุก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราและการบุกรุก: ความยินยอมจำกัดไม่ครอบคลุมการกระทำผิด
ผู้เสียหายยอมให้จำเลยพักนอนที่นอกชานเท่านั้น การที่จำเลยเข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจึงเป็นความผิดฐานบุกรุก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1458/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้อื่น: การปรับบทลงโทษที่ถูกต้องตามกฎหมายอาญา
แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นจำเลยที่ 2 ร่วมข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตายก็ดี แต่โจทก์มีพยานแวดล้อมซึ่งล้วนแต่เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดกับการตายและการพบศพของผู้ตาย เมื่อฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนแล้ว รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง
ศาลล่างปรับบทลงโทษในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตายว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ตรี และมาตรา289 นั้นไม่ถูกต้อง เพราะมาตรา 277 ตรีมิใช่บทความผิด แต่เป็นบทที่ลงโทษให้หนักขึ้นแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 276 วรรคสองความผิดตามมาตรา 276 และมาตรา 289 ก็มีหลายวรรค ทั้งมาตรา 277ตรีก็เป็นบทลงโทษที่มีหลายอนุมาตรา ต้องปรับบทให้ถูกต้องชัดเจนโดยมีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยว่าจำเลยที่ 1,2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรค 2 ให้ลงโทษตามมาตรา 277 ตรี(2) และมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4),(5) และ (7).(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ครูข่มขืนนักเรียนในความดูแล มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 และ 285
จำเลยเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ในสายชั้นเรียนให้แก่ผู้เสียหาย ในขณะเกิดเหตุ ผู้เสียหายเป็นศิษย์อยู่ในความดูแลของจำเลย ทั้งต้องเชื่อฟังจำเลยด้วยเมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในขณะนั้น จำเลยจึงต้องมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 277 ประกอบมาตรา 285.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่พอฟังลงโทษคดีข่มขืน จำเลยปฏิเสธตลอด
โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเป็นพยาน คงมีแต่คำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายว่าจำเลยข่มขืนผู้เสียหายหลายครั้ง พยานของโจทก์ปากอื่นก็ล้วนแต่ได้รับฟังการบอกเล่ามาจากผู้เสียหาย ส่วนคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยก็ไม่มีรายละเอียดว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราที่ไหนอย่างไรจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นศาลตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังลงโทษคดีข่มขืน การรับฟังพยานบอกเล่าและการขาดรายละเอียดคำรับสารภาพ
โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเป็นพยาน คงมีแต่คำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายว่าจำเลยข่มขืนผู้เสียหายหลายครั้งพยานของโจทก์ปากอื่นก็ล้วนแต่ได้รับฟังการบอกเล่ามาจากผู้เสียหาย ส่วนคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยก็ไม่มีรายละเอียดว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราที่ไหนอย่างไรจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นศาลตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง: พยานหลักฐานเชื่อได้ถึงการกระทำผิด แม้มีพยานปากเดียว
แม้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานปากเดียวที่รู้เห็นว่าจำเลยกับพวกร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ได้ยินยอมด้วยก็ตาม แต่เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุให้ควรเชื่อได้ว่าผู้เสียหายเบิกความไปตามความจริง กรณีก็ฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำผิด(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5837/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารโดยความยินยอมของผู้เสียหาย: การรักษาโรคด้วยวิธีแปลกประหลาด ไม่เข้าข่ายข่มขืนหรือกระทำชำเรา
ผู้เสียหายยอมให้จำเลยกระทำอนาจารโดยโง่เขลาเบาปัญญาและหลงเชื่ออย่างงมงาย ว่าจำเลยรักษาโรคให้ได้ ดังนี้ ไม่เป็นการกระทำโดยขู่เข็ญ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายซึ่งมีอายุเกินกว่า 13ปี จึงไม่เป็นความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5009/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อหวังข่มขืน ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพและลักทรัพย์
จำเลยให้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญผู้เสียหายโดยจับมือและบีบคอขู่ไม่ให้ร้องเพื่อความสะดวกแก่การที่จะกระทำผิดในทางเพศ มิได้ประสงค์ต่อทรัพย์เมื่อผู้เสียหายหลบหนีจำเลยจึงเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตเกิดขึ้นภายหลัง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก และฐานใช้กำลังทำร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 อันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท กระทงหนึ่งและเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์คงเป็นความผิดต่อเสรีภาพ และความผิดฐานใช้กำลังทำร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำดังกล่าวมาในฟ้องแล้ว ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์, พาไปเพื่อการอนาจาร, ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมโดยการพาผู้เสียหายไปหาผู้กระทำผิด
การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษ ไปให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยกรรมหนึ่ง และจำเลยที่ 1ยังมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งด้วย
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรกตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ
of 44