พบผลลัพธ์ทั้งหมด 329 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 316/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน: ถ้อยคำข่มขู่และสบประมาทเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่เข้าจับกุม
ถ้อยคำว่า 'อ้ายจ่า ถ้ามึงจับกู กูจะเอามึงออก' ซึ่งจำเลยกล่าวต่อจ่าสิบตำรวจในขณะที่จะเข้าจับกุมจำเลยในข้อหาฐานบุกรุกอันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่อันชอบด้วยกฎหมายเป็นถ้อยคำที่กล่าวสบประมาท เหยียดหยาม และข่มขู่เจ้าพนักงานตำรวจผู้นั้นมิให้จับกุมจำเลยอันเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่แล้ว และมิใช่เป็นเพียงการประท้วงการกระทำของเจ้าพนักงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2283/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแอบอ้างเป็นตำรวจข่มขู่เรียกเงิน ไม่เข้าข่ายกรรโชกเนื่องจากไม่มีการข่มขืนใจด้วยกำลังหรือขู่เข็ญ
จำเลยที่ 1 ใช้อุบายอ้างตนเป็นตำรวจร่วมกับจำเลยที่ 2ซึ่งแสดงตนว่าเป็นตำรวจ โดยจำเลยที่ 1 แกล้งจับ ป. ใส่กุญแจมือและจะจับผู้เสียหายหาว่าค้าฝิ่นเถื่อน แต่เมื่อผู้เสียหายถอยหลังออกไปไม่ยอมให้จับข้อมือ จำเลยที่ 1 ก็พูดว่า 'เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลุง ลุงเอาเงินให้ฉันพันหนึ่ง แล้วลุงขายฝิ่นต่อไปก็แล้วกัน' โดยจำเลยที่ 1 หรือที่ 2 มิได้ข่มขืนใจด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญจะทำอันตรายต่อชีวิต เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้เสียหาย หรือของบุคคลที่สาม อย่างไรต่อไปผู้เสียหายเรียกบุตรชายซึ่งเดินมาจะเข้าบ้าน จำเลยทั้งสองและป.ก็เดินออกไป เช่นนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่เข้าลักษณะเป็นความผิดฐานกรรโชก จึงไม่เป็นพยายามกรรโชก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2025/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามกรรโชก: การข่มขู่เรียกทรัพย์สินและการปฏิเสธของผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 กับ ส. เข้าไปในร้านของผู้เสียหายส. พูดกับผู้เสียหายว่าขอเงิน 100 บาท จะเอาไปซ่อมปืน ผู้เสียหายตอบว่าไม่มี ส. พูดว่าให้คิดให้ดี ๆ ชีวิตผู้เสียหายสำคัญกว่า พวกของ ส. มีมาก และชี้ให้ดูพวกที่ยืนอยู่ที่ถนนนอกร้านประมาณ 20 คน พอดีมีคนเข้ามาในร้าน ผู้เสียหายจึงถือโอกาสหลบหนีไป ต่อมาอีก 2 วัน จำเลยที่ 1 ถือจดหมายของ ส. มาอ่านให้ผู้เสียหายฟังว่าต้องการเงิน 500 บาทผู้เสียหายบอกว่าไม่มีเงิน จำเลยที่ 1 ว่า เย็นนี้รู้กัน หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ไปที่ร้านผู้เสียหายอีกและถูกตำรวจจับได้ การที่ผู้เสียหายตอบจำเลยที่ 1 ว่าไม่มีเงินย่อมเห็นได้ชัดว่าเป็นคำตอบปฏิเสธว่าไม่ยอมให้เงินหรือยอมรับว่าจะให้เงินแก่จำเลยที่ 1 กับพวกตามที่จำเลยที่ 1 กับพวกขู่เข็ญข่มขืนใจ การกระทำของจำเลยที่ 1 อยู่ในขั้นพยายามกระทำความผิดฐานกรรโชก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1609/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปล้นทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย แม้ไม่มีอาวุธข่มขู่ ศาลลงโทษฐานปล้นทรัพย์ได้
จ. ผู้เฝ้าบ้านของ น. กำลังถากหญ้าอยู่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงแกรกในบ้าน จึงเดินไปเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก ขณะเรียกบุตรของ น. อยู่ จำเลยที่ 1 เข้ามาจับมือ จ. และบอกให้เข้าไปในบ้าน และไม่ให้ส่งเสียงดัง ซึ่งขณะนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 กำลังลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์อยู่ การกระทำของจำเลยที่ 1ดังกล่าวเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย จ. ถือได้ว่าจำเลยร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย มีความผิดฐานปล้นทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีมีดเป็นอาวุธและร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้อาวุธขู่เข็ญจะทำร้าย จ. ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธหรือขู่เข็ญจะทำร้าย จ. กลับได้ความว่าจำเลยเพียงแต่ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย จ. ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นข้อแตกต่างที่มิใช่ข้อสารสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ด้วย ศาลลงโทษจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีมีดเป็นอาวุธและร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้อาวุธขู่เข็ญจะทำร้าย จ. ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธหรือขู่เข็ญจะทำร้าย จ. กลับได้ความว่าจำเลยเพียงแต่ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย จ. ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นข้อแตกต่างที่มิใช่ข้อสารสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ด้วย ศาลลงโทษจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน แม้จะอ้างว่าลงชื่อโดยไม่สมัครใจ หากไม่มีการข่มขู่ที่ทำให้สัญญาไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้แบ่งที่นาให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยได้ทำต่อกันไว้ตามสำเนาบันทึกการประนีประนอมยอมความท้ายฟ้อง แต่จำเลยไม่ได้ให้การโดยแจ้งชัดถึงสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์อ้างว่าจำเลยตกลงแบ่งที่นาพิพาทตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้องเลย ต้องถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้จริงยิ่งไปกว่านั้นตามสำเนาคำเปรียบเทียบของอำเภอซึ่งจำเลยแนบมาพร้อมกับคำให้การ จำเลยก็ยอมรับว่าได้ลงชื่อแบ่งที่ดินนี้จริงเป็นแต่อ้างว่าเซ็นชื่อโดยไม่สมัครใจ ที่จำเลยให้การว่าถูกขู่ แต่คำให้การของจำเลยไม่มีข้อความที่ทำให้เห็นว่าเป็นการข่มขู่อันจะทำให้สัญญาประนีประนอมไม่ชอบแต่ประการใด คดีจึงไม่จำต้องสืบพยานกันต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกเคหสถานและการข่มขู่: เหตุผลอันสมควรในการเข้าไป และเจตนาทำร้ายร่างกายไม่ใช่การรบกวนการครอบครอง
จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อพูดกับผู้เสียหายถึงการรื้อบ้านของผู้เสียหายซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่ผู้เสียหายกับจำเลย ตกลงกันให้จำเลยซื้อคืน ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปโดย ไม่มีเหตุอันสมควร
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย และใช้ปืนบังคับขู่ว่าจะยิงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของ ผู้เสียหายโดยปกติสุข ดังนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจะถือว่าจำเลยกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครอง อสังหาริมทรัพย์ไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย และใช้ปืนบังคับขู่ว่าจะยิงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของ ผู้เสียหายโดยปกติสุข ดังนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจะถือว่าจำเลยกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครอง อสังหาริมทรัพย์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือพยายามฆ่า และการข่มขู่เจ้าพนักงาน: เจตนาสำคัญในการประเมินความผิด
จำเลยทั้งสองพกปืนไปหาผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ควักปืนออกมาชี้ปากกระบอกปืนไปที่ผู้เสียหายแล้วถามจำเลยที่ 1 ว่า คนนี้ใช่ไหม จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงผู้เสียหาย 3 นัด จำเลยที่ 2 ยิงปืนขู่ 1 นัด และพูดขู่ไม่ให้พวกผู้เสียหายติดตาม แล้วจำเลยทั้งสองพากันวิ่งหนีไป ดังนี้ จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
เมื่อตำรวจติดตามจับกุมจำเลยที่ 2 และแสดงตัวให้ทราบว่าเป็นตำรวจจำเลยที่ 2 จ้องปืนมาที่ตำรวจ แต่ไม่ยิงทั้งๆ ที่มีโอกาสยิงได้ ปล่อยให้ตำรวจกระโดดเข้าปัดปืนจากจำเลยจนปืนลั่น โดยไม่ปรากฏว่าปืนลั่นเพราะจำเลยมีเจตนายิง พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 จ้องปืนเพื่อขู่ตำรวจเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน
เมื่อตำรวจติดตามจับกุมจำเลยที่ 2 และแสดงตัวให้ทราบว่าเป็นตำรวจจำเลยที่ 2 จ้องปืนมาที่ตำรวจ แต่ไม่ยิงทั้งๆ ที่มีโอกาสยิงได้ ปล่อยให้ตำรวจกระโดดเข้าปัดปืนจากจำเลยจนปืนลั่น โดยไม่ปรากฏว่าปืนลั่นเพราะจำเลยมีเจตนายิง พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 จ้องปืนเพื่อขู่ตำรวจเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันพยายามฆ่าและข่มขู่เจ้าพนักงาน: การพิจารณาเจตนาจากพฤติการณ์
จำเลยทั้งสองพกปืนไปหาผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ควักปืนออกมาชี้ปากกระบอกปืนไปที่ผู้เสียหายแล้วถามจำเลยที่ 1 ว่า คนนี้ใช่ไหม จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงผู้เสียหาย 3 นัด จำเลยที่ 2 ยิงปืนขู่ 1 นัด และพูดขู่ไม่ให้พวกผู้เสียหายติดตาม แล้วจำเลยทั้งสองพากันวิ่งหนีไป ดังนี้ จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
เมื่อตำรวจติดตามจับกุมจำเลยที่ 2 และแสดงตัวให้ทราบว่าเป็นตำรวจจำเลยที่ 2 จ้องปืนมาที่ตำรวจ แต่ไม่ยิงทั้ง ๆ ที่มีโอกาสยิงได้ ปล่อยให้ตำรวจกระโดดเข้าปัดปืนจากจำเลยจนปืนลั่นโดยไม่ปรากฏว่าปืนลั่นเพราะจำเลยมีเจตนายิง พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 จ้องปืนเพื่อขู่ตำรวจเท่านั้นยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน
เมื่อตำรวจติดตามจับกุมจำเลยที่ 2 และแสดงตัวให้ทราบว่าเป็นตำรวจจำเลยที่ 2 จ้องปืนมาที่ตำรวจ แต่ไม่ยิงทั้ง ๆ ที่มีโอกาสยิงได้ ปล่อยให้ตำรวจกระโดดเข้าปัดปืนจากจำเลยจนปืนลั่นโดยไม่ปรากฏว่าปืนลั่นเพราะจำเลยมีเจตนายิง พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 จ้องปืนเพื่อขู่ตำรวจเท่านั้นยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1153/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปล้นทรัพย์โดยข่มขู่ใช้กำลังและความผิดตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 11
ผู้เสียหายซื้อเนื้อกระบือไว้จากจำเลยคนหนึ่ง ต่อมา จำเลยทั้งสองกับพวกได้สมคบกันไปแกล้งกล่าวหาว่าผู้เสียหายได้ซื้อเนื้อกระบือของพรรคพวกจำเลยซึ่งถูกคนร้ายลักมาฆ่า และได้ร่วมกันขู่เข็ญบังคับให้ผู้เสียหายใช้เงินให้โดยอ้างว่าเป็นค่าเสียหาย โดยจำเลยที่ 1 ใช้กำลังเข้าชกต่อยผู้เสียหาย และยิงปืนขู่ให้ผู้เสียหายเกรงกลัวจนผู้เสียหายยอมส่งเงินให้ ดังนี้ จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานปล้นทรัพย์
เมื่อคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับข้อ 14 ของประกาศดังกล่าวได้แก้โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ให้เบาลง เป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำผิด อันเป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ศาลฎีกาต้องนำประกาศของคณะปฏิวัติมาปรับบท
เมื่อคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับข้อ 14 ของประกาศดังกล่าวได้แก้โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ให้เบาลง เป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำผิด อันเป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ศาลฎีกาต้องนำประกาศของคณะปฏิวัติมาปรับบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์ vs. ปล้นทรัพย์: การกระทำโดยมีอาวุธ แต่ไม่ข่มขู่ผู้เสียหาย
บุตรและบุตรเขยเจ้าทรัพย์พาโคกระบือของเจ้าทรัพย์ไปเลี้ยงโดยบุคคลทั้งสองอยู่ห่างฝูงโคกระบือ 4 เส้น จำเลยกับพวกรวม 4 คนลักโคในฝูง 1 ตัว โดยใช้ปืนยิงโคล้มลงบุคคลทั้งสองได้ยินเสียงปืนเดินไปดูได้ 2 เส้น เห็นจำเลยกับพวกอยู่ใกล้ ๆ โคที่ล้ม ถือปืนยาวทุกคนแต่มิได้ยกปืนขึ้นเล็งมาที่บุคคลทั้งสอง คงปล่อยให้บุคคลทั้งสองต้อนโคกระบือรวมฝูงพากลับบ้านเช่นนี้ จำเลยไม่ผิดฐานปล้นทรัพย์