คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ซื้อขายที่ดิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 491 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4604/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินไม่ถูกต้องตามสัญญา การสืบพยานบุคคลเพื่อพิสูจน์เจตนา
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินทั้งหมดที่มีสิ่งปลูกสร้าง แต่จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพียงโฉนดเดียวให้แก่โจทก์ส่วนที่ดินอีกโฉนดหนึ่งที่มีสิ่งปลูกสร้างบางส่วนอยู่จำเลยที่ 1 ปกปิดไม่แบ่งโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์แต่กลับไปโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์เสียเปรียบผิดเจตนาในการทำสัญญาซื้อขาย เท่ากับโจทก์นำสืบว่าสัญญาซื้อขายไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโจทก์จึงมีสิทธิสืบพยานบุคคลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4193/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะให้กรรมสิทธิ์ร่วมที่ไม่จดทะเบียน และการหลอกลวงในการซื้อขายที่ดิน ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น
การที่จำเลยเพียงทำหนังสือยกที่ดินให้กรุงเทพมหานครสร้างโรงพยาบาลโดยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และจำเลยทำสัญญาขายที่ดินให้โจทก์โดยบอกว่าที่ดินจำเลยติดโรงพยาบาลจำเลยมีสิทธิผ่านได้ ต่อมากรุงเทพมหานคร ไม่ได้ดำเนินการสร้างโรงพยาบาล จำเลยย่อมนำที่ดินไปจำหน่ายอย่างใดอย่างหนึ่งในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ สัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมเอกสารหมาย จ.3 ที่จำเลยจะให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 52827 บางส่วนแก่โจทก์สัญญาจะให้หรือคำมั่นจะให้อสังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 526 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะ ไม่อาจปรับบทมาตรา 456 วรรคสองโจทก์ไม่อาจฟ้องร้องบังคับตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมเป็นการระงับข้อพิพาท จึงเป็นสัญญาประนีประนอมนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่าการที่จำเลยทำสัญญาดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาทและศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นเพียงว่าจำเลยทำสัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมในที่พิพาทแก่โจทก์โดยสำคัญผิดและเป็นโมฆะหรือไม่เท่านั้นฎีกาข้อนี้ของโจทก์เป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4119/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินจากผู้ไม่มีสิทธิและการครอบครองแทนเจ้าของเดิม สิทธิการครอบครองไม่เกิดขึ้น
ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยมิได้ยินยอมหรือรู้เห็นให้มารดาจำเลยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ การที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากมารดาจำเลยผู้ไม่มีสิทธิย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่โจทก์แม้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายก็ต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนจำเลย แม้ฟังว่าจำเลยทราบเรื่องหลังวันทำสัญญาประมาณ 3 เดือนจึงไปขอไถ่ที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์โจทก์ยอมให้ไถ่โดยมีข้อตกลงว่าหากจำเลยมีเงินเมื่อใดก็นำไปไถ่ได้นั้น ถือได้ว่าเป็นเพียงการที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ครอบครองแทนต่อไปเท่านั้น และเนื่องจากโจทก์มิได้เข้าครอบครองที่ดินนั้นโดยการแย่งการครอบครอง แม้โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนปัจจุบันก็มิได้สิทธิครอบครอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4069/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินมือเปล่า, พินัยกรรมไม่สมบูรณ์, การบุกรุก และอำนาจศาลในการพิจารณาคดี
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ส่วนข้อหาตามมาตรา 358 และ 362ไม่รับ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ทั้งสองข้อหาความผิดนั้นอีก การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 จึงไม่ชอบ ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าการซื้อขายย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อเจ้ามรดกขายที่พิพาทให้โจทก์ก่อนเจ้ามรดกตายโดยความรู้เห็นของจำเลยแล้ว การที่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่พิพาทให้แก่จำเลย พินัยกรรมส่วนที่เกี่ยวกับที่พิพาทย่อมไม่สมบูรณ์สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของโจทก์ จำเลยเข้าไปใช้รถไถขุดทำลายบ่อเลี้ยงปลาในที่พิพาทของโจทก์เพื่อถือการครอบครองอันเป็นการรบกวนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์โดยปกติสุขทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินในช่วงระยะเวลาห้ามโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน ทำให้การซื้อขายเป็นโมฆะ แม้มีการครอบครองเป็นเวลานาน
แม้จะรับฟังตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยแต่เมื่อขณะทำการซื้อขายที่ดินพิพาทยังอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนที่ดินพิพาทภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 58 ทวิ การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยและการที่จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 แม้โจทก์จะครอบครองที่ดินพิพาทมานานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ที่ดินพิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 379/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยเจตนาลวงเพื่อนำไปจำนอง สัญญาเป็นโมฆะและต้องคืนที่ดิน
การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ยืมที่ดินไปจำนองธนาคาร โดยจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตกลงว่าเมื่อไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยที่ 1 จะโอนคืนโจทก์นั้น การโอนขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำโดยเจตนาลวง ไม่มีความประสงค์ให้ผูกพันกัน จึงใช้บังคับระหว่างกันไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 เดิม (มาตรา 155 ที่แก้ไขใหม่)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3450/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริตและเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ ศาลเพิกถอนการโอนและให้ชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 2 มีอาชีพค้าขายที่ดินและบ้านจัดสรรมาหลายปีแล้วทั้งจำเลยที่ 2 เห็นรั้วอิฐบล็อกที่กั้นที่ดินพิพาทจากทางทิศใต้ไปทางทิศเหนือรวม 2 แนวซึ่งไปจดรั้วของบ้านจำเลยที่ 2 และเห็นการถมดินและอาคารซึ่งเทพื้นคอนกรีตโดยมีโครงหลังคาเหล็กก่อสร้างในที่ดินพิพาทเช่นนี้ จำเลยที่ 2 น่าจะรู้ราคาจริงของที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างว่าเป็นเงินเท่าใด และราคาซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 2 รับซื้อไว้จากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 900,000 กว่าบาทนั้น ต่ำกว่าราคาซื้อขายที่แท้จริงเพียงใดหรือไม่เพราะตามปกติราคาซื้อขายที่แท้จริงของที่ดินจะสูงกว่าราคาที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แต่ได้ความตามคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เองว่าราคาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นเงิน 900,000 กว่าบาท ส่วนราคาที่ดินพิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินประเมินไว้เป็นเงินถึง 1,480,000 บาทดังนั้นถ้าถือตามราคาที่ดินพิพาทที่ซื้อขายกันดังคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมินมากเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับการที่จำเลยที่ 2 รู้จักกับจำเลยที่ 1 มาเป็นเวลาหลายปีและจำเลยที่ 2 มีที่ดินติดต่อกันด้วยแล้ว จึงฟังได้ว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นไปโดยไม่สุจริตโดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาท ให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ หากโอนไม่ได้จึงให้ชำระค่าเสียหายนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอน ก็ยังถือว่าเป็นการโอนโดยชอบอยู่ จึงถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันดังกล่าว คงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาเป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2556/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำวินิจฉัย คชก. ในข้อพิพาทซื้อขายที่ดินเช่า หากผู้รับโอนไม่ปฏิบัติตาม
เมื่อ คกช.ตำบลวินิจฉัยตามข้อตกลงระหว่างโจทก์ผู้เช่านากับจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนที่ดินจากผู้ให้เช่านา โดยให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โจทก์จึงนำคดีมาสู่ศาลขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ขายที่ดินดังกล่าวตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กรณีย่อมอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 ซึ่งศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้ถ้าเห็นว่าคำชี้ขาดนั้นขัดต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218 วรรคสุดท้ายเมื่อจำเลยที่ 2 เพียงแต่ต่อสู้ว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของ คชก.ตำบล แต่มิได้ให้การต่อสู้ว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ตามคำวินิจฉัยดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินตามคำพิพากษาตามยอม การซื้อขายที่ดินส่วนของผู้อื่นเป็นโมฆะ
ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ที่ 1ที่ 2 และ ร. สามีโจทก์ที่ 3 ที่ตายไปแล้วกับจำเลยที่ 1 ให้แบ่งที่ดินมรดกระหว่างกัน ได้มีการตกลงแบ่งเขตที่ดินกันเป็นส่วนสัดแล้ว จึงตกเป็นของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ร. และจำเลยที่ 1ตามส่วนที่ได้รับแบ่งมา แม้จำเลยที่ 1 จะได้นำที่ดินพิพาททั้งหมดไปออกโฉนดเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวเต็มทั้งแปลงก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในส่วนของโจทก์ที่ 1 ที่ 2และ ร. จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิที่จะยกที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และ ร.ให้แก่พ. คงมีสิทธิที่จะยกส่วนของตนให้ พ.เท่านั้นเมื่อพ. ตาย จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาผู้รับมรดกของ พ.จึงไม่มีสิทธิดีไปกว่าพ. การที่จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาททั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 3 แต่จำเลยที่ 2มีสิทธิขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนที่ได้รับมาให้แก่จำเลยที่ 3เท่านั้น ไม่มีสิทธิขายที่ดินพิพาททั้งหมดซึ่งเป็นส่วนของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และ ร. รวมอยู่ด้วยให้แก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเพียงเฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 1 ได้รับแบ่งมรดกและต่อมาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 เท่านั้น แต่ศาลพิพากษาเพิกถอนการซื้อขายที่ดินพิพาททั้งแปลงไม่ได้ คงเพิกถอนได้เฉพาะการซื้อขายที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และ ร.เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3115/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดิน: การไถ่ถอนจำนองเป็นเงื่อนไข การพิพาทหนี้จำนองไม่ถือเป็นการผิดสัญญา
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อธนาคารผู้รับจำนองที่ดินดังกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองวันใด จำเลยจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ในวันนั้น ย่อมหมายถึงการที่ธนาคารยอมให้ไถ่ถอนจำนองในจำนวนหนี้ที่ถูกต้องด้วย เมื่อปรากฏว่าจำนวนหนี้ที่ธนาคารยอมให้จำเลยชำระเพื่อไถ่ถอนจำนองยังมีข้อพิพาทโต้เถียงเป็นคดีความกันอยู่ จะถือว่าธนาคารยอมให้ไถ่ถอนจำนองแล้วไม่ได้ การที่จำเลยได้ดำเนินการเพื่อไถ่ถอนที่ดินพิพาทแล้วแต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากมีข้อโต้แย้งกับธนาคารผู้รับจำนองเช่นนี้ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อโจทก์อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา
of 50