คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้ค้ำประกัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันไม่ผูกพันทายาทหากผู้ค้ำประกันเสียชีวิตก่อนจำเลยผิดสัญญา
จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนของโจทก์และทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องกลับมารับราชการชดใช้ทุน หากผิดสัญญายอมชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับแก่โจทก์โดยมี ก.เป็นผู้ค้ำประกัน ดังนี้ เมื่อปรากฏว่า ก.ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายลงในระหว่างเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดสัญญาและยังไม่ผิดนัด จึงยังไม่มีหนี้ของ ก.ที่โจทก์จะเรียกให้รับผิดได้ สัญญาค้ำประกันของ ก.ที่ทำไว้ต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ตกทอดไปยังทายาท จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ซึ่งเป็นทายาทของ ก.จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันไม่ตกทอดถึงทายาท หากผู้ค้ำประกันเสียชีวิตก่อนลูกหนี้ผิดสัญญา
จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนของโจทก์และทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องกลับมารับราชการชดใช้ทุน หากผิดสัญญายอมชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับแก่โจทก์โดยมี ก. เป็นผู้ค้ำประกัน ดังนี้ เมื่อปรากฎว่า ก.ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายลงในระหว่างเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดสัญญาและยังไม่ผิดนัด จึงยังไม่มีหนี้ของ ก.ที่โจทก์จะเรียกให้รับผิดได้ สัญญาค้ำประกันของ ก.ที่ทำไว้ต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ตกทอดไปยังทายาท จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ซึ่งเป็นทายาทของก.จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันไม่ตกทอดถึงทายาท หากผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายก่อนลูกหนี้ผิดสัญญา
จำเลยที่1ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนของโจทก์และทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่าจำเลยที่1จะต้องกลับมาราชการชดใช้ทุนหากผิดสัญญายอมชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับแก่โจทก์โดยมีก.เป็นผู้ค้ำประกันดังนี้เมื่อปรากฏว่าก.ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายลงในระหว่างเวลาที่จำเลยที่1ยังไม่ผิดสัญญาและยังไม่ผิดนัดจึงยังไม่มีหนี้ของก.ที่โจทก์จะเรียกให้รับผิดได้สัญญาค้ำประกันของก.ที่ทำไว้ต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ตกทอดไปยังทายาทจำเลยที่2ที่5และที่6ซึ่งเป็นทายาทของก.จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันไม่ตกทอดถึงทายาท หากผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายก่อนลูกหนี้ผิดสัญญา
จำเลยที่1ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนของโจทก์และทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่าจำเลยที่1จะต้องกลับมารับราชการชดใช้ทุนหากผิดสัญญายอมชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับแก่โจทก์โดยมีก. เป็นผู้ค้ำประกันดังนี้เมื่อปรากฎว่าก.ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายลงในระหว่างเวลาที่จำเลยที่1ยังไม่ผิดสัญญาและยังไม่ผิดนัดจึงยังไม่มีหนี้ของก.ที่โจทก์จะเรียกให้รับผิดได้สัญญาค้ำประกันของก.ที่ทำไว้ต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ตกทอดไปยังทายาทจำเลยที่2ที่5และที่6ซึ่งเป็นทายาทของก.จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5464/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อ: ความรับผิดของผู้ค้ำประกันแม้ชื่อโจทก์ไม่ปรากฏ
ป.พ.พ. มาตรา 680ป.วิ.พ. มราตรา 172 วรรคสอง
สัญญาค้ำประกันระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันมีข้อความครบถ้วน แสดงว่าเป็นการค้ำประกันการเช่าซื้อโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแม้จะมิได้เติมชื่อบริษัทโจทก์และจำเลยที่ 1 ลงในช่องว่างที่เว้นไว้ แต่สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นแบบพิมพ์อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกับสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อเพียงแต่อยู่ด้านหลังของสัญญาเช่าซื้อและจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันดังกล่าว แสดงว่าจำเลยที่ 2 ตกลงเข้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์โจทก์จึงมีฐานะเป็นูคู่สัญญาและเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วยคำฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดพอที่จำเลยที่ 2 จะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ แม้สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องจะมิได้ระบุชื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ก็หาทำให้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5464/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อ แม้ไม่ได้ระบุชื่อคู่สัญญาครบถ้วน แต่หากผู้ค้ำประกันยอมรับ ก็มีผลผูกพัน
สัญญาค้ำประกันระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันมีข้อความครบถ้วน แสดงว่าเป็นการค้ำประกันการเช่าซื้อโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแม้จะมิได้เติมชื่อบริษัทโจทก์และจำเลยที่ 1 ลงในช่องว่างที่เว้นไว้ แต่สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นแบบพิมพ์อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกับสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์ผู้เช่าซื้อและจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อเพียงแต่อยู่ด้านหลังของสัญญาเช่าซื้อและจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันดังกล่าว แสดงว่าจำเลยที่ 2 ตกลงเข้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์ โจทก์จึงมีฐานะเป็นคู่สัญญาและเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วยคำฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดพอที่จำเลยที่ 2 จะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ แม้สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องจะมิได้ระบุชื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ก็หาทำให้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5464/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อ แม้ไม่ได้ระบุชื่อครบถ้วน แต่หากผู้ค้ำประกันยอมรับ ก็มีผลผูกพัน
สัญญาค้ำประกันระบุชื่อจำเลยที่2เป็นผู้ค้ำประกันมีข้อความครบถ้วนแสดงว่าเป็นการค้ำประกันการเช่าซื้อโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแม้จะมิได้เติมชื่อบริษัทโจทก์และจำเลยที่1ลงในช่องว่างที่เว้นไว้แต่สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นแบบพิมพ์อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกับสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยที่1ผู้เช่าซื้อเพียงแต่อยู่ด้านหลังของสัญญาเช่าซื้อและจำเลยที่2ก็เบิกความยอมรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่2ตกลงเจ้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่1ทำไว้ต่อโจทก์โจทก์จึงมีฐานะเป็นคู่สัญญาและเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่2ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับตัวจำเลยที่2ว่าจำเลยที่2ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อที่จำเลยที่1ทำไว้ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องต่อมาจำเลยที่1ผิดสัญญาเช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเสียหายจำเลยที่2จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลย 1ด้วยคำฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดพอที่จำเลยที่2จะเข้าใจและต่อสู้คดีได้แม้สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องจะมิได้ระบุชื่อโจทก์และจำเลยที่1ก็หาทำให้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความดอกเบี้ยและการรับผิดของลูกหนี้ร่วม, ผู้ค้ำประกัน, และผู้จำนอง
ตามสัญญาทรัสต์รีซีททั้ง 4 ฉบับ ข้อ 6 กำหนดไว้ว่า จำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ในจำนวนเงินที่คำนวณแล้วว่าต้องชำระแก่โจทก์โดยเริ่มนับจากวันทำสัญญานี้จนถึงวันที่โจทก์ได้รับเงินครบถ้วนจากจำเลยที่ 1 ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ได้ระบุเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยและจะอนุมานจากพฤติการณ์ก็ไม่ได้ โจทก์ย่อมจะเรียกให้จำเลยที่ 1ชำระดอกเบี้ยได้โดยพลันนับแต่วันทำสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่งอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันทำสัญญาทรัสต์รีซีทเช่นกัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 169(เดิม) อายุความดอกเบี้ยค้างส่งเริ่มนับจากวันถัดจากวันดังกล่าวไปจนกว่าจะครบ5 ปี การที่จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยสำหรับสัญญาทรัสต์รีซีททั้ง 4 ฉบับ บางส่วนทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 (เดิม) โจทก์ฟ้องคดีนี้ภายในกำหนด 5 ปี จึงไม่ขาดอายุความเรียกร้องดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันซึ่งยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม เหตุที่อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้นั้น ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วย ตามป.พ.พ. มาตรา 692 ซึ่งเป็นข้อยกเว้นมาตรา 295 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 3 ผู้จำนอง แม้หนังสือต่อท้ายสัญญาจำนองระบุว่าให้รับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ย่อมไม่มีผลถึงจำเลยที่ 3 เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1ตาม ป.พ.พ. มาตรา 295 วรรคสอง จำเลยที่ 3 ผู้จำนองจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยที่ค้างชำระย้อนหลังไป 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 189 (เดิม) และมาตรา 745
จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ในการผ่อนชำระหนี้ จำเลยทั้งสามมิได้กำหนดชำระหนี้รายใดไว้โดยเฉพาะ โจทก์ชอบที่จะเอาชำระหนี้ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยก่อน แต่โจทก์เลือกการชำระหนี้เอาเองตามใจชอบจึงไม่ผูกพันจำเลยทั้งสามนั้น ประเด็นข้อนี้จำเลยทั้งสามไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น และไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความดอกเบี้ยตามสัญญาทรัสต์รีซีท การสะดุดหยุดของอายุความ และความรับผิดของผู้ค้ำประกันและผู้จำนอง
ตามสัญญาทรัสต์รีซีททั้ง4ฉบับข้อ6กำหนดไว้ว่าจำเลยที่1ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ18ต่อปีในจำนวนเงินที่คำนวณแล้วว่าต้องชำระแก่โจทก์โดยเริ่มนับจากวันทำสัญญานี้จนถึงวันที่โจทก์ได้รับเงินครบถ้วนจากจำเลยที่1ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ได้ระบุเวลาให้จำเลยที่1ชำระดอกเบี้ยและจะอนุมานจากพฤติการณ์ก็ไม่ได้โจทก์ย่อมจะเรียกให้จำเลยที่1ชำระดอกเบี้ยได้โดยพลันนับแต่วันทำสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา203วรรคหนึ่งอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันทำสัญญาทรัสต์รีซีทเช่นกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา169(เดิม)อายุความดอกเบี้ยค้างส่งเริ่มนับจากวันถัดจากวันดังกล่าวไปจนกว่าจะครบ5ปีการที่จำเลยที่1ชำระดอกเบี้ยสำหรับสัญญาทรัสต์รีซีททั้ง4ฉบับบางส่วนทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา172(เดิม)โจทก์ฟ้องคดีนี้ภายในกำหนด5ปีจึงไม่ขาดอายุความเรียกร้องดอกเบี้ย จำเลยที่2ผู้ค้ำประกันซึ่งยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมเหตุที่อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้นั้นย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา692ซึ่งเป็นข้อยกเว้นมาตรา295จำเลยที่2จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1 จำเลยที่3ผู้จำนองแม้หนังสือต่อท้ายสัญญาจำนองระบุว่าให้รับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมด้วยเมื่อจำเลยที่1รับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงย่อมไม่มีผลถึงจำเลยที่3เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา295วรรคสองจำเลยที่3ผู้จำนองจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยที่ค้างชำระย้อนหลังไป5ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา189(เดิม)และมาตรา745 จำเลยทั้งสามฎีกาว่าในการผ่อนชำระหนี้จำเลยทั้งสามมิได้กำหนดชำระหนี้รายใดไว้โดยเฉพาะโจทก์ชอบที่จะเอาชำระหนี้ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยก่อนแต่โจทก์เลือกการชำระหนี้เอาเองตามใจชอบจึงไม่ผูกพันจำเลยทั้งสามนั้นประเด็นข้อนี้จำเลยทั้งสามไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้ำประกันความเสียหายจากการทำงาน: ความรับผิดของผู้ค้ำประกันเกิดขึ้นตามกฎหมาย แม้ไม่มีข้อความระบุ
เอกสารที่ทำขึ้นใช้ถ้อยคำแสดงว่าเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันและข้อความต่อมาก็ระบุในรายละเอียดให้เป็นที่เข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันที่ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าว ขอรับรองการเข้ามาทำงานของจำเลยที่ 1 ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ยักยอกหรือทุจริตเงินของโจทก์ ให้โจทก์ดำเนินการตามกฎหมายแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ทันที ดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2ได้ค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดจากการทำงานของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ทำหลักฐานการค้ำประกันเป็นหนังสือให้ไว้แก่โจทก์ แม้จะไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าวระบุว่า จำเลยที่ 2 ยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ ก็ไม่ทำให้ความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ที่มีอยู่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้เพราะเมื่อจำเลยที่ 2 ยินยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันแล้ว ความรับผิดจะมีขึ้นตอนไหนเพียงใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายไม่จำต้องระบุถึงความรับผิดดังกล่าวซ้ำอีกถึงได้ใช้คำว่า "ผู้ค้ำประกัน" อันเป็นถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 11ว่าด้วยค้ำประกัน จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1
of 58