คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้ซื้อ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 310 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา มาตรา 271: ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ซื้อโดยตรง
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 271 บัญญัติให้เอาผิดแก่ผู้ขายของโดยหลอกลวงให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณอันเป็นเท็จ ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้คือผู้ซื้อเมื่อโจทก์มิใช่เป็นผู้ซื้อ จึงมิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องคดีขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีหลอกลวงผู้ซื้อ: โจทก์ต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 271 บัญญัติให้เอาผิดแก่ผู้ขายของโดยหลอกลวงให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ หรือปริมาณอันเป็นเท็จ ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้คือผู้ซื้อ เมื่อโจทก์มิใช่เป็นผู้ซื้อ จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องคดีขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052-1054/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิในทรัพย์มรดก การเช่าที่ดิน และการใช้สิทธิโดยสุจริตของผู้ซื้อ
ร. ทำพินัยกรรมยกที่ดินแปลงพิพาทกับแปลงอื่นอีก 2 แปลงให้ ส. อ. และ ล. แต่ให้ตกเป็นของผู้รับต่อเมื่อ ล. มีอายุครบ 20 ปีคนใดจะได้แปลงไหนให้จับสลากเอาเมื่อ ร. ตายแล้ว มีบุคคลผู้หนึ่งได้เป็นผู้จัดการมรดก แต่ต่อมาขอออกไป ระหว่างที่ยังไม่มีผู้จัดการมรดกคนใหม่ บ. ซึ่งเป็นมารดาของ ส. อ. ล. ได้ให้จำเลยเช่าตึกแถวในที่ดินแปลงพิพาท ซึ่งตึกนี้มีคนสร้างและยกกรรมสิทธิ์ให้แก่ บ. ดังนี้ ตึกแถวย่อมตกติดเป็นของเจ้าของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310 แม้ตามพินัยกรรมจะยังไม่ให้สิทธิในที่ดินแปลงใดตกทอดไปยัง ส. อ. และ ล. ในทันที ตึกแถวนั้นก็คงต้องตกไปเป็นของคนใดคนหนึ่งในสามคนนี้ แต่ก็ไม่ใช่เป็นของ บ. แม้จำเลยจะหลงเชื่อโดยสุจริตว่า บ. เป็นเจ้าของก็ไม่ทำให้จำเลยเกิดสิทธิในการเช่าอันจะใช้ยันเจ้าของที่ดินและตึกอันแท้จริงได้ เพราะ บ. ผู้ให้เช่าไม่ใช่เจ้าของตึกหรือมีสิทธิให้เช่าได้ โจทก์ซึ่งรู้เรื่องอยู่แล้ว รับโอนกรรมสิทธิ์ไปจากเจ้าของแล้วใช้อำนาจกรรมสิทธิ์ปฏิเสธไม่รับรู้การเช่าของจำเลยและฟ้องขับไล่ ดังนี้ จะถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่ เพราะย่อมถือได้ว่าโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์มา โดยเห็นว่าการเช่าของจำเลยไม่มีผลผูกพันเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าทำไปทั้งที่รู้อยู่ว่าตนไม่มีสิทธิที่จะทำได้
เมื่อ ล. มีอายุครบ 20 ปีแล้ว ศาลตั้งให้ ส. อ. และ ล.เป็นผู้จัดการมรดกของ ร. ส. อ. และ ล. จึงเป็นทั้งผู้จัดการมรดกและทายาทตามพินัยกรรมที่จะรับมรดกที่ดินกับตึกแถวรายนี้ การที่ ส. อ.และ ล. ขายที่ดินพิพาทกับตึกแถวให้แก่โจทก์ไปในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดก จึงเป็นการขายตามความประสงค์ของเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยไม่อาจอ้างได้ว่าผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจขาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิที่ได้จากการซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดและการสืบสิทธิของผู้ซื้อต่อ
ว. เป็นผู้ซื้อที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต สิทธิของ ว. ย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 จำเลยจะกล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยมิใช่ของ ท. ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ได้ที่พิพาทต้องตกเป็นของ ว. โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่พิพาทจาก ว. อีกต่อหนึ่งแม้การซื้อขายระหว่างโจทก์กับ ว. ไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ ถือว่าโจทก์ได้สืบสิทธิของ ว. ซึ่งมีอยู่ตามมาตรา 1330 (เกี่ยวกับอำนาจฟ้องวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับในสัญญาซื้อขาย: เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญา ผู้ขายมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันไว้ได้
ผู้ซื้อกับผู้ขายทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้ว่า ตกลงกำหนดโอนที่ดินให้ผู้ซื้อหรือผู้หนึ่งผู้ใดที่ผู้ซื้อระบุภายใน 1 เดือนนับแต่วันทำสัญญา ถ้าพ้นกำหนดแล้วผู้ซื้อยังชำระเงินค่าที่ดินให้ผู้ขายไม่ได้ ผู้ขายยอมขยายเวลาให้อีก 150 วัน โดยผู้ซื้อยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในเงินค่าที่ดินที่ยังไม่ชำระสำหรับระยะเวลา 150 วันนั้น ถ้าเกินกำหนดนี้ ผู้ขายมีสิทธิเลิกสัญญาได้ทันที ดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามสัญญาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับ เมื่อไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 เพราะเป็นค่าเสียหายจำนวนหนึ่งที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าจะชดใช้ให้เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระหนี้ในกำหนดเวลาตามสัญญา
เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาไม่สามารถรับโอนที่ดินและชำระเงินค่าที่ดินได้ตามสัญญา ผู้ขายย่อมฟ้องเรียกดอกเบี้ยซึ่งกำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับจากผู้ซื้อได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมโดยปริยายในการขายที่ดินมรดก: สิทธิของเจ้าของเดิม vs. ผู้ซื้อ
การที่จำเลยที่ 2 ขายที่ดินมือเปล่าซึ่งจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยโดยที่จำเลยที่ 1 ก็รู้เรื่องและมิได้คัดค้านประการใดนั้น. ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ขายส่วนของจำเลยที่ 1 โดยปริยายด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แม้ถูกยึดในคดีอื่น ย่อมทำได้หากผู้ซื้อต้องรื้อถอนอยู่ดี
กรณีที่ศาลพิพากษาและบังคับจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์นั้น แม้บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยจะถูกยึดไว้ในคดีอื่นเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้แก่เจ้าหนี้ ก็ยังถือไม่ได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้กระทำได้ เพราะหากจะมีการขาดทอดตลาดบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้าง ผู้ซื้อได้ก็จะต้องรื้อถอนออกไปเช่นเดียวกัน ดังนั้น โจทก์จะเข้ารื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยตามคำสั่งศาล(โดยเรียกค่าใช้จ่ายเอาจากจำเลย) แล้วเอาทรัพย์สิ่งของที่รื้อถอนมอบให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ต่อไปก็ย่อมทำได้โดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แม้ถูกยึดในคดีอื่น ย่อมทำได้หากผู้ซื้อต้องรื้อถอนอยู่ดี
กรณีที่ศาลพิพากษาและบังคับจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์นั้น. แม้บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยจะถูกยึดไว้ในคดีอื่นเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้แก่เจ้าหนี้. ก็ยังถือไม่ได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้กระทำได้. เพราะหากจะมีการขายทอดตลาดบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้าง. ผู้ซื้อได้ก็จะต้องรื้อถอนออกไปเช่นเดียวกัน. ดังนั้น โจทก์จะเข้ารื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยตามคำสั่งศาล(โดยเรียกค่าใช้จ่ายเอาจากจำเลย). แล้วเอาทรัพย์สิ่งของที่รื้อถอนมอบให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ต่อไปก็ย่อมทำได้โดยชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในอ้อยและการละเมิด: ผู้ซื้อจากผู้ไม่มีอำนาจขายไม่มีกรรมสิทธิ์
จำเลยมิได้ซื้ออ้อยพิพาทจากบุคคลคนเดียวกับที่ขายให้โจทก์ แต่เป็นการซื้อจากบุคคลที่ไม่มีอำนาจจะขายให้ฉะนั้น จะนำบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1303มาใช้บังคับไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1918-1926/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิที่ดินทางทะเบียนเหนือกว่าการครอบครองปรปักษ์ แม้ผู้ซื้อยังมิได้เข้าครอบครอง
ที่ที่จำเลยตั้งพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ การที่จำเลยอ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตรงนั้นเพราะได้ครอบครองมาช้านาน จึงย่อมใช้ยันกับโจทก์ผู้ซื้อที่ดินมาโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยชอบแล้วไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง แม้โจทก์ยังมิได้เคยเข้าครอบครองที่พิพาทที่ซื้อมา สิทธิของโจทก์ที่ได้มาโดยทางทะเบียนก็มิได้เสียไป กรณีมิใช่เรื่องที่จะเอาหลักเรื่องผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมาใช้ได้ ข้อที่ว่าโจทก์ซื้อโดยสุจริตหรือไม่นั้น ก็ได้มีข้อสันนิษฐานของกฎหมายยอมรับรู้ไว้ก่อนแล้ว ทั้งจำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ในคำให้การว่า โจทก์ได้ซื้อโดยไม่สุจริตแต่อย่างไร จึงมากล่าวอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ และการสุจริตหรือไม่สุจริตในที่นี้ ก็ดูได้จากตัวโจทก์ มิใช่ดูจากฝ่ายผู้ขายที่ดินให้โจทก์ ฉะนั้น ถ้าผู้ขายที่ดินทางทะเบียนให้กับโจทก์จะรู้ว่าที่ดินขาดตกเป็นสิทธิของจำเลยเพราะการครอบครองปรปักษ์ไปแล้วหรือไม่ จึงไม่สำคัญ
of 31