คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 823 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำผิดพยายามฆ่า แม้ไม่ได้บรรยายในฟ้อง ศาลลงโทษฐานผู้สนับสนุนได้
จำเลยที่ 3 จัดหารถจักรยานยนต์ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ใช้ขับขี่ไล่ยิงผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 3 ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวการ เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด แม้ฟ้องโจทก์จะไม่ได้บรรยายเพื่อขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ในฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ เพราะมีโทษเบากว่าตัวการตามที่โจทก์ฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อาหารปลอม: การบรรยายฟ้องที่สมบูรณ์ และการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกา
โจทก์บรรยายฟ้องสรุปใจความได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตอาหารประเภทเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดแห้งที่ต้องละลายก่อนบริโภคบรรจุซองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นอาหารควบคุมเฉพาะตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 65(พ.ศ. 2525) ที่กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของเครื่องดื่มเกลือแร่ 1 ลิตร ต้องมีปริมาณโซเดียม40มิลลิอิควิวาเลนท์แต่เครื่องดื่มเกลือแร่ที่จำเลยทั้งสองผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายมีปริมาณโซเดียมมากถึง115มิลลิอิควิวาเลนท์ ต่อเครื่องดื่มเกลือแร่1 ลิตร มีปริมาณโซเดียมเกินกว่าร้อยละ 187.5 จากเกณฑ์สูงสุดตามกฎหมาย จึงเป็นอาหารที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ถึงขนาดส่วนประกอบที่เป็นคุณค่าทางอาหารมีปริมาณเกินกว่าร้อยละ 30 จากเกณฑ์สูงสุดและแตกต่างจากคุณภาพหรือมาตรฐานที่ระบุไว้จนทำให้เกิดโทษหรืออันตรายแก่ร่างกายผู้บริโภคอันเป็นอาหารปลอมโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่าง ๆ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้มิได้บรรยายว่าเมื่อบริโภคโซเดียมเข้าสู่ร่างกายมากตามฟ้องแล้วจะทำให้ผู้บริโภคได้รับโทษหรืออันตรายอย่างไร ก็เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณาหากจำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์ จำเลยทั้งสองจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า โซเดียมจำนวนตามที่โจทก์ฟ้องไม่ทำให้เกิดโทษต่อร่างกายหรือไม่เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ซึ่งมิได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5088/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับสภาพหนี้เป็นสัญญาใหม่ทำให้ขาดอายุความ ฟ้องไม่ขาดอายุความ
จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่า จำเลยไม่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และหนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยมิต้องรับผิด ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือรับสภาพหนี้มีจำเลยลงลายมือชื่อเพียงฝ่ายเดียว โดยโจทก์มิได้สนองตอบในข้อสัญญาและจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 3,827 บาท จึงเป็นการกล่าวอ้างยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่าง เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
เมื่อมูลหนี้เดิมขาดอายุความแล้ว จำเลยได้ทำสัญญารับสภาพความรับผิด ถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์แล้วสัญญารับสภาพความรับผิดย่อมสมบูรณ์มีผลบังคับ จึงต้องนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันทำสัญญารับสภาพความรับผิดเป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4474/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องการพนันสลากกินรวบ: ข้อเท็จจริงไม่ละเอียดแต่จำเลยรับสารภาพ ไม่ทำให้ฟ้องไม่ชอบ
ตามที่ศาลบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ประกอบกับบันทึกการฟ้องด้วยวาจาที่โจทก์ส่งต่อศาลได้ความว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2532 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันเล่นการพนันสลากกินรวบ พนันเอาทรัพย์สินกันโดยจำเลยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ไม่ปรากฏชัดว่าเป็นการเล่นการพนันสลากกินรวบงวดใด แต่จำเลยก็ให้การรับสารภาพตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยย่อมเข้าใจข้อหาตามฟ้องแล้วมิได้หลงต่อสู้แต่ประการใด จึงหาทำให้ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4114/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ต่างประเทศต้องแสดงว่ากฎหมายของประเทศนั้นคุ้มครองลิขสิทธิ์เช่นกัน
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าภาพยนตร์ตามฟ้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์งานสร้างสรรค์ประเภทโสตทัศนวัสดุตามกฎหมายของบริษัทอ.กับบริษัทท. ประเทศฮ่องกงซึ่งได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ แต่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องเลยว่ากฎหมายของเกาะฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น ๆแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ฟ้องโจทก์จึงขาดข้อความสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าภาพยนตร์ตามฟ้องมีสิทธิ์ที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 42แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการฟ้องคดีอาญา ในกรณีที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวด้วยงานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายต่างประเทศฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3997/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาเกินคำขอในฟ้อง อาศัยอำนาจแก้ไขข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
กรณีที่ศาลพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง อันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าคู่ความไม่ได้ยกขึ้นฎีกาศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเบิกความเท็จต้องระบุรายละเอียดคดีเดิม ข้อหา และความสำคัญของคำเบิกความ
คำฟ้องของโจทก์ฐานเบิกความเท็จได้บรรยายแต่เพียงรายละเอียดข้อความที่จำเลยเบิกความกับความจริงเป็นอย่างไรและว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีแต่มิได้บรรยายว่าคดีที่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จนั้นมีข้อหาหรือฐานความผิดอะไร ประเด็นสำคัญของคดีมีว่าอย่างไรและคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร เป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(5).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยักยอกเงินที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแทนโจทก์ ศาลฎีกาชี้ว่าฟ้องต้องระบุจำนวนครั้งและจำนวนเงินที่ชัดเจน
โจทก์มอบหมายให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ในคดีก่อนมีอำนาจรับเงินจากจำเลยในคดีนั้นแทนโจทก์ได้เมื่อจำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์แทนจำเลยในคดีดังกล่าว เงินที่จำเลยรับไว้จึงตกเป็นของโจทก์จำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอก โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยบรรยายฟ้องว่าระหว่างวันเวลาที่ระบุไว้จำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน180,000 บาท และจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปโดยทุจริตมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้งครั้งละเท่าใด ดังนี้ แม้จะพิจารณา ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกันศาลก็จะเรียงกระทงลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะเป็นการนอกเหนือไปจากฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผูกพันตามเช็คพิพาท แม้ข้อเท็จจริงต่างจากฟ้อง ไม่ทำให้คดีเสีย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลัง เป็นอาวัล แม้โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 2 นำเช็คของจำเลยที่ 1 มาชำระหนี้ของจำเลยที่ 2 เองต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังไว้เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คและจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คแล้วเป็นอันถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีความผูกพันต่อโจทก์ตามเช็คพิพาทแม้การที่โจทก์ได้เช็คไว้ ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้าง ก็ไม่ถึงกับทำให้คดีโจทก์เสียไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2687-2688/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าบำเหน็จถือเป็นการทวงถามเตือนแล้ว จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดต้องเสียดอกเบี้ย
การฟ้องศาลให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จแก่โจทก์ถือได้ว่าเป็นการทวงถามเตือนให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวอยู่ในตัว จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดแล้ว และจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224วรรคแรก.
of 83