พบผลลัพธ์ทั้งหมด 993 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฐานปลอมเอกสารต้องระบุถึงการนำไปใช้ก่อความเสียหาย
ตามคำฟ้องของโจทก์ฐานปลอมเอกสาร โจทก์บรรยายมีใจความสำคัญแต่เพียงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมเอกสารซึ่งเป็นหนังสือมอบอำนาจรวม 2 ฉบับ โดยกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว ซึ่งมีลายมือชื่อของนาย ย. โดยไม่ได้รับความยินยอมเท่านั้น มิได้บรรยายว่า จำเลยกระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนไว้ด้วย ฟ้องโจทก์ฐานปลอมเอกสารทั้งสองสำนวนจึงขาดองค์ประกอบอันสำคัญสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6017/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต: ข้อจำกัดในการฟ้องร้อง
ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์เป็นเรื่องจำเลยก่อสร้างอาคารพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นและอาคารพิพาทไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ มิได้อ้างเหตุว่า จำเลยกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งไม่อนุญาต จึงไม่ต้องระบุมาในฟ้องถึงวันที่ออกคำสั่งไม่อนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5894/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิดชอบ
ตามรายงานการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งของคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งที่รายงานให้ส. ในฐานะนายกเทศมนตรีของเทศบาลโจทก์ทราบถึงการกระทำละเมิดของจำเลยเมื่อวันที่10พฤศจิกายน2532ระบุชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดชอบทางแพ่งต่อโจทก์และเป็นผู้แทนโจทก์ตามพระราชบัญญัติเทศบาลพ.ศ.2496มาตรา39ฉะนั้นจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่10พฤศจิกายน2532โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่31พฤษภาคม2534จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5806/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิดกรรมการบริษัท: เริ่มนับแต่วันกระทำละเมิด หรือวันที่พ้นตำแหน่ง
จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัทกระทำละเมิดต่อบริษัทบริษัทชอบที่จะฟ้องร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่บริษัทรู้ถึง การกระทำละเมิดและรู้ว่าจำเลยต้องใช้สินไหมทดแทนหรือภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันกระทำละเมิดโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทชอบที่จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 ฟ้องเรียกร้องบังคับเอาจากจำเลยแทนเท่าที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องแก่บริษัทเมื่อจำเลยกระทำละเมิดขณะที่เป็นกรรมการบริษัท คือก่อนวันที่ 17 กันยายน 2525 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 23กันยายน 2535 ซึ่งพ้นกำหนดสิบปีนับแต่วันที่จำเลยกระทำผิดคดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5230/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องร้องค่าเสียหาย: ศาลมิอาจพิพากษาเกินหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ค่าติดตามยึดรถพิพาทและค่าซ่อมรถพิพาทโดยมิได้เรียกร้องเอาค่าขาดประโยชน์ในการที่จำเลยครอบครองรถพิพาทอยู่นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดจนถึงวันที่โจทก์ติดตามยึดรถพิพาทคืนมาได้แต่อย่างใดแสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์เรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ จึงมิได้บรรยายฟ้องขอมา การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ค่าประโยชน์ให้แก่โจทก์เดือนละ 50,000 บาท เป็นระยะเวลา 7 เดือน จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าและนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5196/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องร้องซื้อขายที่ดินต้องเพิกถอนคำวินิจฉัยคชก.จังหวัดก่อน หากไม่ฟ้องคชก.คำวินิจฉัยมีผลผูกพัน
คชก.จังหวัดเป็นองค์กรฝ่ายปกครองซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา7และมีอำนาจหน้าที่ต่างๆตามที่กำหนดไว้ในมาตรา8และมาตรา57ซึ่งบัญญัติให้คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดจะต้องฟ้องเพื่อให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดเพราะตราบใดที่คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดยังไม่ถูกเพิกถอนต้องถือว่าคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดยังมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายและหากไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวภายในกำหนดเวลาคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดย่อมเป็นที่สุดตามมาตรา57วรรคสองประกอบด้วยมาตรา56วรรคสองการฟ้องขอให้เพิกถอนมติของคชก.จังหวัดจึงต้องฟ้องผู้ออกมติก็คือคชก.จังหวัดนั้นเองทั้งนี้เพื่อให้คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของผู้ฟ้องขอให้เพิกถอนมตินอกจากนี้ตามมาตรา58วรรคสองกำหนดให้คชก.จังหวัดมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้บังคับตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของคชก.จังหวัดได้ดังนั้นคชก.จังหวัดจึงเป็นองค์กรฝ่ายปกครองที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินคดีในศาลจึงอยู่ในฐานะที่ถูกฟ้องได้เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องคชก.จังหวัดสุพรรณบุรีเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดสุพรรณบุรีคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดสุพรรณบุรีจึงยังคงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายโจทก์จึงฟ้องเฉพาะจำเลยที่2ให้ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์อันแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดสุพรรณบุรีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5157/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นการครอบครองเสมือนเจ้าของ มิใช่แค่การใช้ประโยชน์บางเวลา การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวอ้างนอกฟ้องไม่ชอบ
ที่ดินพิพาทเป็นทางเท้าซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถใช้สัญจรไปมาได้พฤติการณ์ของโจทก์ที่ครอบครองใช้สอบในที่ดินพิพาทโดยเพียงแต่นำตู้กระจกที่ใส่สินค้าออกไปวางขายในช่วงเช้าแล้วนำเข้าเก็บเมื่อปิดร้านค้าครั้นปิดร้านค้าแล้วก็มิได้สงวนสิทธิในที่ดินพิพาทแต่อย่างใดคงปล่อยให้คนสัญจรไปมาดังเช่นทางเท้าทั่วไปดังนี้แม้โจทก์จะวางตู้กระจกขายสินค้ามาเป็นเวลาช้านานก็คงเป็นเพียงการถือวิสาสะเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทในบางเวลาเป็นการชั่วคราวเท่านั้นจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของอันจะมีลักษณะเป็นการครอบครองอย่างปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382 โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องโดยชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองและโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์การที่โจทก์ฎีกาว่าป.ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ก่อสร้างตึกแถวยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วนั้นจึงเป็นการฎีกาในเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฎีกาของโจทก์ส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4986/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น/ภาระจำยอม: การฟ้องขอเปิดทางผ่านที่ดินของผู้อื่น การกำหนดประเด็นข้อพิพาท
โจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินโจทก์ซึ่งซื้อมาจากเจ้าของเดิมอยู่ติดกับที่ดินจำเลยและมีที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ระหว่างที่ดินโจทก์กับทางสาธารณะมีที่ดินจำเลยคั่นอยู่และมีทางพิพาทจากที่ดิน โจทก์ผ่านที่ดินจำเลยไปออกสู่ทางสาธารณะ ก่อนโจทก์ซื้อที่ดินเจ้าของเดิมได้ใช้ทางพิพาทเข้าออกที่ดินโจทก์สู่ทางสาธารณะโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นและตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ และเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวก็ได้ใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะติดต่อกันตลอดมา ต่อมาจำเลยนำเสาปูนมาปักกั้นทางพิพาท จึงขอให้จำเลยเปิดทางพิพาท เช่นนี้จะเห็นได้ว่าตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวทางพิพาทอาจเป็นทางจำเป็นหรือทางภาระจำยอม ซึ่งต้องแล้วแต่ข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาว่าที่ดินโจทก์ถูกที่ดินจำเลยและที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะหรือเจ้าของเดิมก็ได้ใช้ทางพิพาทติดต่อกันก่อนขายให้โจทก์เป็นเวลานานเกินกว่า 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์โดยอายุความจำเลยจึงไม่มีสิทธิมาปิดกั้นทางพิพาท คำฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยเพียงแต่ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียง 2 ประเด็น ขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มอีก 1 ข้อ คือ "บริเวณที่ดินที่เป็นทางพิพาทตามฟ้องเป็นของจำเลยหรือไม่"หากศาลไม่อนุญาต ขอถือเอาคำแถลงนี้เป็นคำโต้แย้งคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า"ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงประเด็นที่กำหนดไว้เดิม จึงไม่อนุญาต" จำเลยก็หาได้โต้แย้งคำสั่งศาลในเรื่องนี้อีกแต่อย่างใดไม่ ฉะนั้น จะถือเอาคำแถลงของจำเลยฉบับนั้นเป็นคำโต้แย้งไม่ได้ จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหานี้ไม่ได้เพราะเป็นการต้องห้ามตามป.วิ.พ.มาตรา 226 (2)
จำเลยเพียงแต่ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียง 2 ประเด็น ขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มอีก 1 ข้อ คือ "บริเวณที่ดินที่เป็นทางพิพาทตามฟ้องเป็นของจำเลยหรือไม่"หากศาลไม่อนุญาต ขอถือเอาคำแถลงนี้เป็นคำโต้แย้งคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า"ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงประเด็นที่กำหนดไว้เดิม จึงไม่อนุญาต" จำเลยก็หาได้โต้แย้งคำสั่งศาลในเรื่องนี้อีกแต่อย่างใดไม่ ฉะนั้น จะถือเอาคำแถลงของจำเลยฉบับนั้นเป็นคำโต้แย้งไม่ได้ จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหานี้ไม่ได้เพราะเป็นการต้องห้ามตามป.วิ.พ.มาตรา 226 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4795/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ทรงเช็คโดยชอบ แม้รายละเอียดมูลหนี้ต่างจากฟ้อง หากฟ้องมุ่งรับผิดตามเช็ค
โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาโดยมีมูลหนี้ที่ป. จะต้องชำระให้แก่โจทก์จริงโจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบจำเลยในฐานะทายาทป. ผู้สั่งจ่ายเช็คจึงต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์แม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบว่าป. สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวจะแตกต่างไปจากคำฟ้องที่ระบุว่าสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าที่ดินไปบ้างก็เป็นเพียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายละเอียดของมูลหนี้ที่นำมาสู่การสั่งจ่ายเช็คพิพาทเท่านั้นแต่ก็เป็นเหตุที่ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบเช่นเดียวกันทั้งโจทก์ก็ฟ้องโดยมุ่งประสงค์ให้จำเลยรับผิดตามเช็คที่ป.เป็นผู้สั่งจ่ายเป็นสำคัญมิได้มุ่งให้รับผิดในมูลหนี้ซื้อขายที่ดินโดยตรงจึงไม่ถึงกับทำให้คดีของโจทก์เสียไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4784/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์ฟ้องร้องแยกรายบุคคล, ข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริง, จำนวนทุนทรัพย์เกินกำหนด
โจทก์ทั้งสี่ต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องให้จำเลยที่ 4 กับพวก ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดให้แก่โจทก์ทั้งสี่แม้จะฟ้องรวมกันมา ก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเป็นราย ๆ ไป โจทก์ทั้งสี่ฟ้องเรียกค่าปลงศพ 20,000 บาท และฟ้อง เรียกค่าขาดไร้อุปการะโดยโจทก์ที่ 1 เรียกมา 50,000 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เรียกมา 400,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 แต่ละคนเรียกร้องจำนวนเท่าใด แต่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ต่างก็เป็น บุตรผู้เยาว์ของผู้ตาย ค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 แต่ละคนคงไม่แตกต่างกันมาก จึงพออนุมานได้ว่าค่าขาดไร้อุปการะ ที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เรียกร้องมารวมกับค่าปลงศพ ที่แต่ละคนเรียกร้องมามีจำนวนไม่เกินคนละสองแสนบาทและค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 1 เรียกร้องมาไม่เกินสองแสนบาทเช่นกัน