พบผลลัพธ์ทั้งหมด 506 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2910/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสัญญาซื้อขายสินสมรสด้วยสัญญาประนีประนอม และขอบเขตการจัดการสินสมรส
ส. ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและบ้านอันเป็นสินสมรสของโจทก์กับ ส. ให้แก่จำเลย แล้วผิดสัญญา จำเลยจึงฟ้องเรียกเบี้ยปรับและมัดจำคืน ส. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล ยอมชำระเบี้ยปรับและคืนเงินมัดจำให้จำเลย ดังนี้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและบ้านได้ระงับไปแล้วด้วยผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โจทก์ซึ่งเป็นสามีจะฟ้องขอให้เพิกถอนมิได้ ส่วนสัญญาประนีประนอมยอมความก็เป็นนิติกรรมเกี่ยวกับหนี้เงิน มิได้ทำขึ้นเพื่อผูกพันสินสมรสโดยเฉพาะจึงมิใช่เป็นการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1476,1477 และ 1480 โจทก์ซึ่งเป็นสามีจะฟ้องขอให้เพิกถอนมิได้เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2289/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่สมบูรณ์ การรับผิดในละเมิดของนายจ้างต่อลูกจ้าง
จำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ว่าจะจ่ายค่าทำขวัญให้ในกรณีเรือยนต์หางยาวรับจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 จมลงทำให้มารดา พี่สาว และบุตรโจทก์ซึ่งโดยสารเรือมาด้วยจมน้ำตาย แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจะอ้างเอาสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้รับผิดในมูลละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ลูกจ้างได้ขับเรือยนต์หางยาวไปในทางการที่จ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมโมฆะ ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องปลอมแปลงเอกสาร
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะแล้วนั้น มีผลเท่ากับสัญญาไม่มีผลมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะร่วมกันเติมข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้ในสัญญาผิดไปจากข้อตกลงและเบิกความยืนยันข้อความนั้นต่อศาลก็ไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใด โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยฐานปลอมเอกสารและเบิกความเท็จ
การที่จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลว่า เจ้ามรดกกู้เงินผู้อื่นและจำเลยเป็นผู้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแทนเจ้ามรดกนั้น หาใช่เป็นข้อสาระสำคัญในการฟ้องขอแบ่งมรดกแต่ประการใดไม่
การที่จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลว่า เจ้ามรดกกู้เงินผู้อื่นและจำเลยเป็นผู้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแทนเจ้ามรดกนั้น หาใช่เป็นข้อสาระสำคัญในการฟ้องขอแบ่งมรดกแต่ประการใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมเป็นโมฆะ ไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะแล้วนั้น มีผลเท่ากับสัญญาไม่มีผลมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะร่วมกันเติมข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้ในสัญญาผิดไปจากข้อตกลงและเบิกความยืนยันข้อความนั้นต่อศาลก็ไม่ทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหายแต่ประการใด โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยฐานปลอมเอกสารและเบิกความเท็จ การที่จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลว่า เจ้ามรดกกู้เงินผู้อื่นและจำเลยเป็นผู้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแทนเจ้ามรดกนั้น หาใช่เป็นข้อสาระสำคัญในการฟ้องขอแบ่งมรดกแต่ประการใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมเป็นโมฆะ ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องฐานปลอมแปลงเอกสารและเบิกความเท็จ
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะแล้วนั้น มีผลเท่ากับสัญญาไม่มีผลมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะร่วมกันเติมข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้ในสัญญาผิดไปจากข้อตกลงและเบิกความยืนยันข้อความนั้นต่อศาลก็ไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใดโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยฐานปลอมเอกสารและเบิกความเท็จ
การที่จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลว่า เจ้ามรดกกู้เงินผู้อื่นและจำเลยเป็นผู้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแทนเจ้ามรดกนั้นหาใช่เป็นข้อสาระสำคัญในการฟ้องขอแบ่งมรดกแต่ประการใดไม่.
การที่จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลว่า เจ้ามรดกกู้เงินผู้อื่นและจำเลยเป็นผู้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแทนเจ้ามรดกนั้นหาใช่เป็นข้อสาระสำคัญในการฟ้องขอแบ่งมรดกแต่ประการใดไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1099/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการผ่อนผันสัญญาประนีประนอมยอมความต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความ
ทนายความที่คู่ความแต่งตั้งมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนคู่ความตามที่เห็นสมควรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของคู่ความ แต่ถ้าดำเนินกระบวนพิจารณาใดเป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิของคู่ความ จะต้องได้ระบุไว้ชัดเจนในใบแต่งทนายความของคู่ความนั้น เมื่อปรากฏว่าทนายโจทก์อนุญาตให้จำเลยออกจากห้องพิพาทหลังจากล่วงพ้นกำหนดตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความก็เป็นการกระทำกันนอกศาล มิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลทั้งโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย จึงนอกเหนืออำนาจที่ทนายโจทก์จะกระทำได้และไม่มีผลผูกพันโจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1099/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความจำกัดในการผ่อนผันสัญญาประนีประนอม หากไม่ได้รับความยินยอมจากคู่ความ
ทนายความที่คู่ความแต่งตั้งมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนคู่ความตามที่เห็นสมควรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของคู่ความแต่ถ้าดำเนินกระบวนพิจารณาใดเป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิของคู่ความ จะต้องได้ระบุไว้ชัดเจนในใบแต่งทนายความของคู่ความนั้น เมื่อปรากฏว่าทนายโจทก์อนุญาตให้จำเลยออกจากห้องพิพาทหลังจากล่วงพ้นกำหนดตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความก็เป็นการกระทำกันนอกศาล มิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลทั้งโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย จึงนอกเหนืออำนาจที่ทนายโจทก์จะกระทำได้และไม่มีผลผูกพันโจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิค่าจ้างจากการเลิกจ้าง: ศาลฎีกาวินิจฉัยตามคำขอเดิมของจำเลยที่ยื่นก่อนทำสัญญาประนีประนอม
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างโดยให้มีผลตั้งแต่วันยื่นคำร้องคือวันที่ 20 มกราคม 2530ก่อนโจทก์ยื่นคำคัดค้าน จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นกรณีฉุกเฉิน ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตโดยให้จำเลยนำเงินค่าจ้างไปวางศาล เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลแรงงานกลางอนุญาตให้เลิกจ้างโจทก์ได้ ก็ให้จำเลยขอรับค่าจ้างคืนไป แต่ถ้าไม่อนุญาตให้เลิกจ้าง ก็ให้โจทก์รับเงินค่าจ้างไปได้ แสดงว่าจำเลยประสงค์เลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2530 การที่ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่โจทก์จำนวนหนึ่งโดยให้โจทก์ไปขอรับจากศาลแรงงานกลางตามที่จำเลยได้วางไว้ ส่วนที่เหลือให้จำเลยรับคืนไปและโจทก์ไม่ติดใจในเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ค่าเสียหายและค่าชดเชยเกี่ยวกับการเลิกจ้างศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ตามที่ตกลงกันแต่ข้อตกลงไม่แจ้งชัดว่าจะให้เลิกจ้างเมื่อใด เช่นนี้คำสั่งอนุญาตให้เลิกจ้างดังกล่าวย่อมเป็นไปตามคำขอของจำเลย โดยจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2530
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3585/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการโอนกรรมสิทธิ์: แม้ยังมิได้จดทะเบียน แต่การยกกรรมสิทธิ์ตามสัญญาประนีประนอมทำให้อายุความสิ้นสุดลง
จำเลยปลูกบ้านในที่ดินซึ่งผู้ร้องเช่ามาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เมื่อปี พ.ศ. 2512 โดยมีข้อสัญญาว่าเมื่อครบกำหนด 13 ปีจำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้อง ต่อมาก่อนครบกำหนดผู้ร้องและจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันยกกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2525 ข้อตกลงนี้ แม้ยังไม่จดทะเบียนโอนก็ไม่ทำให้บ้านพิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ เพราะที่ดินเป็นสิทธิของผู้ร้องตามสัญญาเช่า ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยอีกคดีหนึ่ง จะนำยึดบ้านพิพาทเพื่อบังคับคดีหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2758/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเคลือบคลุม, การลงชื่อในบัญชีพยาน, และการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยให้การและฟ้องแย้งเคลือบคลุมโดยมิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่มีเหตุผลประกอบข้ออ้างของโจทก์ว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมอย่างไร การที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่ จึงชอบแล้ว
ในวันที่จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลยังมิได้สั่งในวันนั้นต่อมาภายหลังทนายจำเลยยื่นคำร้องขอลงชื่อในบัญชีพยานศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตและสั่งรับบัญชีพยานจำเลยในวันเดียวกันด้วย ถือได้ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งรับบัญชีพยานของจำเลยทนายจำเลยได้ลงชื่อในบัญชีพยานโดยถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับเงิน 500,000 บาทจากจำเลยเป็นการตอบแทนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์จะออกจากที่ดินของจำเลยภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้ทำบันทึกเพิ่มเติมสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จะออกจากห้องเช่าภายใน 7 วัน นับแต่ผู้เช่าอื่นรายสุดท้ายซึ่งจำเลยได้ดำเนินการบังคับคดีได้ขนย้ายออกไปจากที่ดินเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยย่อมมีสิทธิบังคับคดีกับโจทก์ โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยมิได้และเมื่อโจทก์ผิดสัญญาโจทก์ก็ต้องคืนเงิน 500,000 บาทให้จำเลยตามฟ้องแย้ง.
ในวันที่จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลยังมิได้สั่งในวันนั้นต่อมาภายหลังทนายจำเลยยื่นคำร้องขอลงชื่อในบัญชีพยานศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตและสั่งรับบัญชีพยานจำเลยในวันเดียวกันด้วย ถือได้ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งรับบัญชีพยานของจำเลยทนายจำเลยได้ลงชื่อในบัญชีพยานโดยถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับเงิน 500,000 บาทจากจำเลยเป็นการตอบแทนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์จะออกจากที่ดินของจำเลยภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้ทำบันทึกเพิ่มเติมสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จะออกจากห้องเช่าภายใน 7 วัน นับแต่ผู้เช่าอื่นรายสุดท้ายซึ่งจำเลยได้ดำเนินการบังคับคดีได้ขนย้ายออกไปจากที่ดินเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยย่อมมีสิทธิบังคับคดีกับโจทก์ โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยมิได้และเมื่อโจทก์ผิดสัญญาโจทก์ก็ต้องคืนเงิน 500,000 บาทให้จำเลยตามฟ้องแย้ง.