พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8277/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินเขตหวงห้าม แม้มีเอกสารสิทธิเดิม ย่อมเป็นความผิด หากทราบว่าเป็นที่ดินหวงห้าม
เมื่อที่ดินพิพาทได้มีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นเขตหวงห้ามสำหรับใช้ในราชการทหารพร้อมด้วยแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ประชาชนทราบแล้ว ทั้งต่อมากรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุด้วย ดังนั้น ย่อมถือว่าประชาชนทุกคนได้ทราบแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินหวงห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าไปยึดถือครอบครอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าไม่มีเจตนาเข้าไปยึดถือครอบครองในที่ดินพิพาทอันเป็นที่ห้วงห้ามได้ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8245/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การพิจารณาผู้ใช้สิทธิก่อนและเจตนาในการสร้างเครื่องหมาย
โจทก์และจำเลยต่างยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า KIPLING ซึ่งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเห็นว่าเหมือนหรือคล้ายกันจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า แต่จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทสำหรับสินค้าจำพวกที่ 18 ก่อนโจทก์ประมาณ 1 ปี โดยโจทก์ไม่ทราบมาก่อน นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าจึงไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้แก่โจทก์ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเช่นเดียวกันนี้สำหรับสินค้าจำพวกที่ 25 ไว้แล้วและไม่ปรากฏว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งให้โจทก์และจำเลยปฏิบัติตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 24 กรณีจึงถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่ากัน แม้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 67 เพราะมาตรานี้เป็นเรื่องผู้มีส่วนได้เสียฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนไว้แล้ว แต่โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8152/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายต่อเนื่อง: ศาลฎีกาแก้ไขโทษจากความผิดหลายกรรมเป็นกรรมเดียว
การที่จำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายทั้งสองเพราะมีสาเหตุโกรธเคืองเนื่องจากโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องค่าแรงโดยจำเลยเป็นช่างไม่ได้รับค่าแรงน้อยกว่าผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นช่างทาสี แล้วจำเลยได้ใช้ขวานฟันผู้เสียหายทั้งสองในทันทีทันใดในเวลาต่อเนื่องกันการที่จะทำร้ายใครก่อนหลังย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะไม่สามารถใช้ขวานฟันผู้เสียหายทั้งสองคนพร้อมกันทีเดียวได้ แต่จำเลยประสงค์จะทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองในคราวเดียวกัน แม้จะมีการกระทำหลายหนและต่อบุคคลหลายคนก็อยู่ภายในเจตนาอันนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8086/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติดกรรมเดียว: เจตนาจำหน่ายทั้งหมดในคราวเดียว แม้ส่งมอบไม่ครบ
การที่จำเลยตกลงจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 140 เม็ดแล้วนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 ถุง ถุงละ 70 เม็ดติดตัวมาส่งมอบให้แก่จ่าสิบตำรวจ ก. เมื่อจำเลยส่งมอบเมทแอมเฟตามีนถุงแรกแล้วก็ถูกจับกุมทันที โดยที่ยังไม่ทันส่งมอบถุงที่สอง เช่นนี้ จำเลยมีเจตนาจำหน่ายและจะส่งมอบเมทแอมเฟตามีนจำนวนทั้งหมด 2 ถุง ที่นำติดตัวมาตามที่ได้ตกลงซื้อขายในคราวเดียวกัน หาใช่กรณีจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามจำนวนที่ได้ตกลงซื้อขายกันไปแล้วและยังคงมีเหลืออยู่ในครอบครองของจำเลยอีกจำนวนหนึ่งเพื่อจำหน่ายในคราวต่อไปไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว หาใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8061/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมจำหน่ายกัญชา: การแบ่งหน้าที่ชัดเจนเพียงใดถึงเป็นตัวการได้
การที่จำเลยที่ 1 ติดต่อจำหน่ายกัญชาให้เจ้าพนักงานตำรวจตรวจดูเงินที่ใช้ล่อซื้อโดยนัดวันเวลาและสถานที่ส่งมอบกัญชา เป็นคนแนะนำให้รู้จักกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 และเป็นคนพาไปเอากัญชากับช่วยขนกัญชานำมาส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งรออยู่ที่จุดนัดส่งมอบ แสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการจำหน่ายกัญชาร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาตั้งแต่ต้นจนมีการส่งมอบ จำเลยที่ 1มีเจตนาร่วมในการจำหน่ายกัญชาโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำแม้จำเลยที่ 1 จะมิใช่คนหากัญชามาจำหน่ายหรือเป็นผู้มีอำนาจตกลงจำหน่ายกัญชาหรือเป็นคนรับเงินที่มาล่อซื้อ ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานจำหน่ายกัญชาแล้ว หาใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7897-7898/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาจัดหางานกับการฉ้อโกง: การแยกแยะความผิดและการพิสูจน์เจตนา
แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกความผิดฐานจัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ กับความผิดฐานฉ้อโกงไว้คนละข้อก็ตาม แต่ถ้าอ่านคำฟ้องโจทก์โดยตลอดแล้วย่อมเข้าใจได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดในคราวเดียวกัน
เมื่อฟ้องโจทก์ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความเท็จว่าจำเลยทั้งสองสามารถจัดส่งผู้เสียหายไปทำงานที่สมาพันธรัฐสวิส เท่ากับโจทก์ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาจัดหางานในต่างประเทศ ให้แก่ผู้เสียหาย การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82
เมื่อฟ้องโจทก์ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความเท็จว่าจำเลยทั้งสองสามารถจัดส่งผู้เสียหายไปทำงานที่สมาพันธรัฐสวิส เท่ากับโจทก์ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาจัดหางานในต่างประเทศ ให้แก่ผู้เสียหาย การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7834/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนครอบครอง – การพิสูจน์เจตนา และขอบเขตการริบรถยนต์
จำเลยที่ 4 มีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 197 เม็ด ไว้ในครอบครองโดย ไม่ได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 4 ได้พร้อมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 โดยจำเลยทั้งสี่นั่งมาด้วยกันในรถยนต์บรรทุกของกลางซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ และเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวซ่อนอยู่ที่บริเวณหน้ารถด้านคนขับ เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำเลยที่ 4 เพิ่งไปรับมาในวันนั้น จำเลยทั้งสี่ออกเดินทางไปพร้อมกัน กลับมาพร้อมกัน โดยรถยนต์บรรทุกคันเดียวกัน แสดงว่าขณะนำเมทแอมเฟตามีนมาไว้ในรถจำเลยทั้งสี่อยู่ด้วยกันตลอด การมี เมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1ไว้ในครอบครองเป็นความผิด จำเลยทั้งสี่ย่อมทราบดี หากจำเลยทั้งสี่ไม่มีเจตนาร่วมกันแล้ว จำเลยที่ 4 ย่อมไม่กล้ากระทำโดยเปิดเผยให้ผู้อื่นได้รู้ โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ย่อมจะต้องปกปิดอย่างยิ่ง ชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยที่ 1 และที่ 4 รับสารภาพ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่าร่วมไปด้วยเพื่อนำเอามาเสพ พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 4 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต การที่จำเลยทั้งสี่เพียงแต่ซ่อนเมทแอมเฟตามีนไว้ที่บริเวณหน้ารถด้านคนขับ รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ยานพาหนะซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยตรง จึงไม่อาจริบตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2544)
จำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต การที่จำเลยทั้งสี่เพียงแต่ซ่อนเมทแอมเฟตามีนไว้ที่บริเวณหน้ารถด้านคนขับ รถยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ยานพาหนะซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยตรง จึงไม่อาจริบตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2544)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน: เจตนาบุกรุกและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แม้เกิดต่อเนื่องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) กระทงหนึ่ง และมาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 364 อีกกระทงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และปรับบทลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาอันเดียวคือ มุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 การที่ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งอยู่คนละบ้านกับผู้เสียหายที่ 1 ได้ยินเสียงผู้เสียหายที่ 2 บุตรผู้เสียหายที่ 1 ร้องไห้ ผู้เสียหายที่ 3 จะเข้ามาอุ้มผู้เสียหายที่ 2 จำเลยจึงใช้ไม้รวกตีผู้เสียหายที่ 3 จนแขนหัก เจตนาทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง แยกออกจากเจตนาบุกรุกได้ จึงเป็นการกระทำสองกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 หาใช่เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวเพื่อทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 3 ไม่
จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาอันเดียวคือ มุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 การที่ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งอยู่คนละบ้านกับผู้เสียหายที่ 1 ได้ยินเสียงผู้เสียหายที่ 2 บุตรผู้เสียหายที่ 1 ร้องไห้ ผู้เสียหายที่ 3 จะเข้ามาอุ้มผู้เสียหายที่ 2 จำเลยจึงใช้ไม้รวกตีผู้เสียหายที่ 3 จนแขนหัก เจตนาทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง แยกออกจากเจตนาบุกรุกได้ จึงเป็นการกระทำสองกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 หาใช่เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวเพื่อทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 3 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7664/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำชำเราเด็กหญิงที่มิได้รับอนุญาตสมรส และเจตนาในการกระทำความผิดต่างกรรมกัน
การกระทำที่จะทำให้ผู้กระทำผิดได้รับการยกเว้นโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสุดท้าย จะต้องเป็นการกระทำชำเราเด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและต่อมาภายหลังศาลอนุญาตให้ชายหญิงนั้นสมรสกัน คดีนี้ แม้ว่าภายหลังการกระทำผิดจำเลยกับผู้เสียหายจะจดทะเบียนสมรสกัน แต่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมและศาลก็มิได้อนุญาตให้จำเลยและผู้เสียหายสมรสกัน การกระทำของจำเลยจึงไม่ได้รับยกเว้นโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7354/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างต้องมีเจตนาไม่ให้ลูกจ้างทำงานและไม่จ่ายค่าจ้าง การไม่ตกลงเพิ่มเงินเดือนไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง
นายจ้างจะต้องกระทำการใด ๆ เพื่อไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้จึงจะเป็นการเลิกจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 วรรคสอง
โจทก์ทำสัญญาจ้างกับลูกจ้างสามฉบับ การทำงานตามสัญญาจ้างทั้งสามฉบับมีระยะเวลาติดต่อกัน ครั้นถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2542 ก่อนสัญญาจ้างฉบับที่ 3 ครบกำหนด โจทก์เรียกให้ลูกจ้างไปทำสัญญาจ้างฉบับที่ 4 มีกำหนดระยะเวลาการจ้างต่อจากสัญญาจ้างฉบับที่ 3 ไปอีก 2 ปี โจทก์ประสงค์จะจ้างลูกจ้างให้ทำงานในหน้าที่เดิมต่อไปในอัตราค่าจ้างเดิม แต่ อ. ลูกจ้างเสนอขอเงินเดือนเพิ่มและไม่ลงชื่อตอบรับการจ้างตามสัญญาจ้างฉบับที่ 4 โจทก์เห็นว่าค่าจ้างของลูกจ้างเป็นจำนวนที่สมควรแล้ว จึงไม่ตกลงเพิ่มเงินเดือนให้ตามที่ลูกจ้างต้องการ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า ตามสภาวะเศรษฐกิจโจทก์ไม่สามารถจะเพิ่มค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างได้ ซึ่งเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่ทำสัญญาจ้างฉบับที่ 4 กับโจทก์จนสัญญาจ้างฉบับที่ 3 สิ้นสุดลง ถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำการดังกล่าวเพื่อไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปเพราะโจทก์มิได้ลดเงินเดือนหรือค่าจ้างของลูกจ้างและโจทก์มีความประสงค์ที่จะให้ลูกจ้างทำงานต่อไปในอัตราเงินเดือนเดิม แต่ลูกจ้างเป็นฝ่ายที่ไม่ไปทำงานกับโจทก์เองหลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงแล้ว กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เลิกจ้างลูกจ้าง โจทก์ไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ อ. ลูกจ้าง
โจทก์ทำสัญญาจ้างกับลูกจ้างสามฉบับ การทำงานตามสัญญาจ้างทั้งสามฉบับมีระยะเวลาติดต่อกัน ครั้นถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2542 ก่อนสัญญาจ้างฉบับที่ 3 ครบกำหนด โจทก์เรียกให้ลูกจ้างไปทำสัญญาจ้างฉบับที่ 4 มีกำหนดระยะเวลาการจ้างต่อจากสัญญาจ้างฉบับที่ 3 ไปอีก 2 ปี โจทก์ประสงค์จะจ้างลูกจ้างให้ทำงานในหน้าที่เดิมต่อไปในอัตราค่าจ้างเดิม แต่ อ. ลูกจ้างเสนอขอเงินเดือนเพิ่มและไม่ลงชื่อตอบรับการจ้างตามสัญญาจ้างฉบับที่ 4 โจทก์เห็นว่าค่าจ้างของลูกจ้างเป็นจำนวนที่สมควรแล้ว จึงไม่ตกลงเพิ่มเงินเดือนให้ตามที่ลูกจ้างต้องการ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า ตามสภาวะเศรษฐกิจโจทก์ไม่สามารถจะเพิ่มค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างได้ ซึ่งเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่ทำสัญญาจ้างฉบับที่ 4 กับโจทก์จนสัญญาจ้างฉบับที่ 3 สิ้นสุดลง ถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำการดังกล่าวเพื่อไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปเพราะโจทก์มิได้ลดเงินเดือนหรือค่าจ้างของลูกจ้างและโจทก์มีความประสงค์ที่จะให้ลูกจ้างทำงานต่อไปในอัตราเงินเดือนเดิม แต่ลูกจ้างเป็นฝ่ายที่ไม่ไปทำงานกับโจทก์เองหลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงแล้ว กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เลิกจ้างลูกจ้าง โจทก์ไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ อ. ลูกจ้าง