พบผลลัพธ์ทั้งหมด 567 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจากธุรกิจจัดหางาน จำเลยมีส่วนร่วมรับรู้และจัดการเอกสาร
จำเลยเป็นภริยาของ จ. หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ซึ่งโจทก์ระบุว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลย แม้จำเลยจะมิได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายมาสมัครไปทำงานยังต่างประเทศกับ จ.ก็ตาม แต่ในวันสมัครงานจำเลยก็เข้ามาจัดการตรวจดูเอกสารที่ผู้เสียหายยื่นประกอบใบสมัครงานว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ โดยมีจ. เป็นผู้รับเงินค่าบริการ สถานที่รับสมัครงานก็คือสำนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย ที่พักอาศัยของ จ. และจำเลยก็อยู่ด้านหลังสำนักงานนั้นเอง จำเลยจึงย่อมทราบว่ามีคนไปสมัครงานกับ จ. เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ไปทำงานยังต่างประเทศและมาติดตามเรื่อง จำเลยก็รับทำหน้าที่แทน จ.และพยายามหาเงินใช้คืนผู้เสียหาย ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยร่วมรับรู้ถึงการทำงานของ จ. มาโดยตลอด ถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมกับ จ. ในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3595/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเมื่อเอกสารหาย - ความประมาทเลินเล่อไม่เป็นเหตุยกเว้นการส่งเอกสาร
หลังจากที่สมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆ ของโจทก์สูญหายไปแล้วโจทก์เพียงแต่แจ้งความที่สถานีตำรวจเท่านั้น หาได้แจ้งต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีให้ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 15 ไม่ ประกอบกับสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีที่เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกให้โจทก์นำส่งล้วนแต่เป็นเอกสารสำคัญที่สมควรแก่เรื่องที่เจ้าพนักงานประเมินมีความจำเป็นต้องการตรวจสอบเพื่อประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ทั้งสิ้น โจทก์จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของกรรมการผู้จัดการของโจทก์เองที่ทำให้สมุดบัญชีและเอกสารดังกล่าวสูญหายไป ซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัยมาเป็นข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีตามหมายเรียกมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ปี 2518 ในอัตราร้อยละ 2 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของรอบระยะเวลาบัญชีปีดังกล่าวแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่าได้ตามมาตรา 71(1)แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับในขณะนั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 320/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืม - เอกสารหลายฉบับประกอบกันได้ - ไม่ต้องมีคำว่า 'กู้ยืม' ระบุชัดเจน
ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง มิได้บังคับว่า หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือต้องมีข้อความว่า ใครเป็นผู้ให้กู้ ใครเป็นผู้กู้กู้ยืมกันเมื่อไร กำหนดชำระเงินกันอย่างไร อีกทั้งตามมาตราดังกล่าวที่ว่าถ้า มิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ นั้น หาได้มีความหมายเคร่งครัดว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมปรากฏอยู่ในเอกสารนั้นไม่ และข้อความที่จะรับฟังเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้นั้นไม่จำต้องมีบรรจุอยู่ในเอกสารฉบับเดียวกัน อาจรวบรวมจากเอกสารหลายฉบับที่เกี่ยวโยงเป็นเรื่องเดียวกัน และรับฟังประกอบกันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 320/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมไม่จำเป็นต้องระบุคำว่า 'กู้ยืม' หรือรายละเอียดครบถ้วน สามารถรวบรวมจากเอกสารหลายฉบับได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง มิได้บังคับว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือต้องมีข้อความว่า ใครเป็นผู้ให้กู้ ใครเป็นผู้กู้ กู้ยืมกันเมื่อไรกำหนดชำระเงินกันอย่างไร อีกทั้งหาได้มีความหมายเคร่งครัดว่าต้องมีถ้อยคำว่า กู้ยืม เป็นหลักฐานในเอกสารนั้นไม่ และข้อความที่จะรับฟังเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้นั้นไม่จำต้องมีบรรจุอยู่ในเอกสารฉบับเดียวกัน อาจรวบรวมจากเอกสารหลายฉบับที่เกี่ยวโยงเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2568/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานเอกสาร การแก้ไขเอกสาร และการยืนยันหนี้เกินจำนวนที่ทวง
ไม่มีกฎหมายบังคับว่าการอ้างเอกสารเป็นพยานจะต้องมีผู้ทำเอกสารมาเบิกความรับรองจึงจะรับฟังได้ การที่เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจเอกสารมาเบิกความประกอบเอกสารดังกล่าวเกี่ยวกับรายการและข้อผิดพลาดในเอกสาร ก็มิใช่พยานบอกเล่าเพราะเจ้าหน้าที่เบิกความไปตามที่ตรวจพบเห็นถือเป็นพยานโดยตรง แม้เอกสารมีรอยขูดลบแก้ไขโดยไม่มีผู้ใดรับรอง ก็ไม่ถึงกับรับฟังไม่ได้ สาระสำคัญอยู่ที่ว่าการแก้ไขนั้นถูกต้องหรือไม่ เอกสารที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมได้จากเอกสารของลูกหนี้ รวมเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้ ถือเป็นเอกสารในสำนวนคดีเรื่องอื่นอันเป็นเอกสารเป็นชุด คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งทราบดีอยู่แล้วหรือสามารถตรวจสอบให้ทราบได้โดยง่ายถึงความมีอยู่และความแท้จริงแห่งเอกสารนั้น จึงไม่ต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(1) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้องมีจำนวนเงินเกินกว่าที่มีหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ อ้างว่าเจ้าหนี้ที่ของลูกหนี้คิดยอดเงินดอกเบี้ยผิดไปเมื่อคิดใหม่แล้วคงมีดอกเบี้ยค้างอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏว่าคิดผิดอย่างไร และที่คิดใหม่ถูกต้องอย่างไร การเอาตัวเลขที่อ้างว่าคิดถูกบวกเข้าไปในจำนวนหนี้ที่เรียกให้ผู้ร้องชำระและยืนยันหนี้เพิ่มขึ้นโดยไม่มีเหตุผล จึงเป็นการยืนยันหนี้เกินกว่าที่ทวงไปเป็นการไม่ชอบต้องถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้อยู่ตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งไปครั้งแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2555/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรส: การนำสืบเอกสารการสมรสก่อนซื้อทรัพย์สินพิพาทพิสูจน์สถานะเป็นสินสมรสได้
การที่ผู้ร้องที่ 1 นำสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารคือสำเนาสูติบัตร สำเนาใบสำคัญการหย่าเพื่อแสดงว่าผู้ร้องที่ 1 กับ จำเลยที่ 2 จดทะเบียนสมรสกันจริงพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจดทะเบียนการหย่าให้ กับนำสืบสำเนาหนังสือยินยอมว่าในวันที่จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนซื้อและจำนองที่ดินกับบ้านนั้น ผู้ร้องที่ 1 ให้ความยินยอมแล้วดังนี้ผู้ร้องมิได้นำสืบพยานบุคคลเพียงอย่างเดียว แม้มิได้นำทะเบียนสมรสมาแสดง ก็ไม่ใช่การนำสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับจำเลยที่ 2เกิดขึ้นก่อนวันที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินและบ้านพิพาท ที่ดินและบ้านพิพาทจึงเป็นสินสมรส.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำเนาเอกสารทางแพ่ง: การรับฟังพยานหลักฐานจากสำเนาที่ไม่ใช่การถ่ายเอกสาร
ป.วิ.พ. มาตรา 90 วรรคแรก มิได้บังคับว่า สำเนาเอกสารที่ส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะต้องเป็นเอกสารที่ถ่าย จากต้นฉบับ ดังนั้น สำเนาเอกสารที่ทนายโจทก์พิมพ์ข้อความลงในแบบพิมพ์สัญญากู้ซึ่งเป็นแบบพิมพ์อย่างเดียวกับต้นฉบับสัญญากู้ และมีข้อความเช่นเดียวกับสัญญากู้เงินต้นฉบับ โดยทนายโจทก์ลงชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง ก็ถือเป็นสำเนาเอกสารตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้วเมื่อโจทก์ได้แนบสำเนาเอกสารดังกล่าวมาท้ายฟ้องและส่งให้จำเลยพร้อมสำเนาคำฟ้องแล้ว สัญญากู้เงินต้นฉบับ จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าส่งหมายไม่ใช่ค่าธรรมเนียมศาล แต่เป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเอกสาร การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ค่าส่งหมายมิใช่ค่าธรรมเนียมศาล แต่เป็นค่าธรรมเนียมในการส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นใด ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2502)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งพ.ศ. 2477 ข้อ 5 ซึ่งผู้ขอต้องเสียค่าป่วยการและค่าพาหนะให้แก่เจ้าพนักงาน แม้จำเลยที่ 3 จะได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาก็ไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมส่วนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 3 นำส่งสำเนาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติถือว่าทิ้งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 ต้องจำหน่ายคดี ตาม มาตรา132(1),246.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเก็บรักษาบัญชีและเอกสารทางภาษี การประเมินภาษีเมื่อเอกสารสูญหาย
โจทก์ประกอบธุรกิจขายสินค้าที่จะต้องจัดทำบัญชีตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 285 ในข้อ 13 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว กำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ประกอบธุรกิจนั้น ถ้าจะเก็บรักษา ณสถานที่อื่น ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีจะต้องขออนุญาตต่อสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชี มิฉะนั้นมีความผิดต้องรับโทษ การที่โจทก์นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไปเก็บไว้ที่โกดังของบริษัทอื่นซึ่งมิใช่สถานที่ประกอบธุรกิจของโจทก์ ฝ่าฝืนข้อห้ามตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว เมื่อเกิดเพลิงไหม้เป็นเหตุให้บัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีที่นำไปเก็บไว้ถูกเพลิงไหม้ โจทก์จะอ้างเอาเหตุอันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนกฎหมายของโจทก์มาเป็นเหตุที่ไม่อาจส่งบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบตามหมายเรียกไม่ได้
แม้โจทก์จะจัดส่งเอกสารบางส่วนให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบตามหมายเรียก แต่เมื่อเอกสารต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นไม่เพียงพอที่จะคำนวณหากำไรสุทธิเพื่อประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 71 (1)แห่งประมวลรัษฎากรได้
แม้โจทก์จะจัดส่งเอกสารบางส่วนให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบตามหมายเรียก แต่เมื่อเอกสารต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นไม่เพียงพอที่จะคำนวณหากำไรสุทธิเพื่อประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 71 (1)แห่งประมวลรัษฎากรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลอกลวงเอาทรัพย์สินด้วยการแสดงข้อความเท็จและการเอาเอกสารไปเสีย ทำให้เกิดความเสียหาย
โจทก์มอบเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายชำระหนี้ค่าซื้อฟิล์มภาพยนตร์ซึ่งจำเลยที่ 1 ซื้อไปจากโจทก์คืนให้แก่จำเลยทั้งสองโดยหลงเชื่อคำขอของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองจะนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์เป็นการแลกกับเช็คพิพาทในวันรุ่งขึ้นซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่แรกในขณะที่จำเลยทั้งสองมาแจ้งโจทก์ว่าจะนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์ไม่ใช่เรื่องผิดคำมั่นสัญญา เพราะการที่จำเลยทั้งสองแจ้งโจทก์ว่าจะนำรถยนต์มามอบให้โจทก์ไม่ใช่เหตุการณ์ตามความเป็นจริงในขณะนั้น แต่เป็นแผนการกำหนดขึ้นเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงดังกล่าวได้ไปซึ่งเช็คอันเป็นทรัพย์สินจากโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 และยังเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดเอกสารที่จะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย อันน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 188 อีกด้วย