พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5815/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้การพิจารณาคดีไม่ถูกต้อง
จำเลยอ้างในคำร้องว่า บ้านเลขที่ตามคำฟ้อง ไม่มีตัวบ้านหรืออาคารที่พักอาศัย และพนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับหมายเรียกของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไปปิดไว้ ณ หอพักระพีพร ซึ่งไม่ใช่บ้านเลขที่ตามคำฟ้อง หากเป็นจริงตามคำร้องของจำเลยดังกล่าว การส่งหมายดังกล่าวก็เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 79 และไม่มีผลตามกฎหมาย จำเลยจึงยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 ดังนั้นศาลชั้นต้นชอบที่จะรับคำร้องของจำเลยไว้ไต่สวนต่อไปว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยชอบหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5595/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินเช่า: ศาลแก้ไขคำวินิจฉัยคชก.บางส่วนได้ หากไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้มติคชก.จังหวัดได้ถึงที่สุดไปแล้ว แต่การพิจารณาของคชก.จังหวัดเฉพาะเรื่องราคาที่ให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลบังคับตามมติในเรื่องนี้ของ คชก.จังหวัดไม่ได้ตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 58 ประกอบ พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530มาตรา 24 แต่คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดในส่วนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้เป็นเพียงส่วนประกอบ ส่วนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดที่วินิจฉัยให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทเป็นคำวินิจฉัยส่วนหลักนั้นชอบด้วยกฎหมายไม่เสียไป ดังนั้น ในส่วนประกอบที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้ศาลมีอำนาจพิจารณาจากพยานหลักฐานแล้วพิพากษาให้ถูกต้องได้ แม้ศาลชั้นต้นเห็นว่าราคาที่ดินพิพาทตามที่จดทะเบียนไว้เท่ากับราคาตลาดตรงกับราคาที่ คชก.จังหวัด แต่ก็เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในชั้นศาลของศาลชั้นต้นเอง มิใช่เป็นการถือและบังคับตามการวินิจฉัยชี้ขาดของคชก.จังหวัด คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาข้อพิพาทในส่วนนี้ได้ ไม่เข้าข้อห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 26
พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา54 บัญญัติให้ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาที่เช่าจากผู้รับโอนโดยตรง หากการขายนาที่เช่ามิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 เมื่อโจทก์เป็นผู้เช่านาที่ดินพิพาทและผู้ให้เช่านาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 ทั้งโจทก์ได้ร้องขอต่อ คชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ และได้ผ่านขั้นตอนการอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้รับโอนที่ดินพิพาทขายที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่โจทก์โดยไม่ต้องคำนึงว่าเดิมมีผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทบ้าง ที่จะต้องฟ้องเป็นจำเลยด้วย
พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา54 บัญญัติให้ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาที่เช่าจากผู้รับโอนโดยตรง หากการขายนาที่เช่ามิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 เมื่อโจทก์เป็นผู้เช่านาที่ดินพิพาทและผู้ให้เช่านาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 ทั้งโจทก์ได้ร้องขอต่อ คชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ และได้ผ่านขั้นตอนการอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้รับโอนที่ดินพิพาทขายที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่โจทก์โดยไม่ต้องคำนึงว่าเดิมมีผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทบ้าง ที่จะต้องฟ้องเป็นจำเลยด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5007/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากข้อกล่าวหาไม่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคำฟ้องเดิม
ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยคดีมีประเด็นว่าจำเลยได้ปฏิบัติผิดสัญญาซื้อขายและมีหน้าที่จะต้องชำระค่าซื้อเครื่องจักรพร้อมอุปกรณ์การผลิตซอสน้ำจิ้มไก่และชำระค่าซอสน้ำจิ้มไก่ที่สั่งซื้อจากโจทก์ให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด การที่จำเลยฟ้องแย้งว่า โจทก์และ ต. ได้ร่วมทุนกับ ค.ในบริษัทจำเลยแล้วโจทก์ลักลอบน้ำเอาซอสน้ำจิ้มไก่ไปขายให้แก่บริษัท ข. ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและโจทก์กับคนของโจทก์ที่เป็นกรรมการของจำเลยได้สั่งให้พนักงานของจำเลยจ่ายเงินให้โจทก์โดยไม่ชอบ รวมทั้งโจทก์และคนของโจทก์ได้เบิกเงินทดรองจ่ายโดยไม่เป็นความจริงทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหายให้จำเลย เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าโจทก์ผิดสัญญาร่วมลงทุนและละเมิดและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเกิดจากมูลละเมิด ซึ่งเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4100/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมิได้วางค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมพร้อมอุทธรณ์ แม้ศาลจะขยายเวลาให้แต่จำเลยมิได้ดำเนินการตามกำหนด
จำเลยที่2ยื่นอุทธรณ์โดยมิได้เสียค่าขึ้นศาลและมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางพร้อมอุทธรณ์ด้วยแต่ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินออกไป7วันซึ่งศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตดังนี้จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับอุทธรณ์ของจำเลยที่2ในวันยื่นอุทธรณ์นั้น จำเลยที่2มิได้ชำระค่าขึ้นศาลและมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้หลังจากนั้นเดือนเศษศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่2ชำระค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วนภายใน3วันหากไม่ชำระในกำหนดจะสั่งไม่รับอุทธรณ์เมื่อครบกำหนด3วันไปแล้วจำเลยที่2นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลกับชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับไว้เนื่องจากพ้นกำหนดเวลาเพียงวันเดียวดังนี้เมื่อจำเลยที่2มิได้นำเงินดังกล่าวมาชำระและวางภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้ในครั้งแรกแม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งขยายระยะเวลาให้อีกแต่ก็มิได้สั่งก่อนสิ้นระยะเวลาอนุญาตให้ขยายไว้เดิมและไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยที่ศาลชั้นต้นจะสั่งขยายระยะเวลาดังกล่าวไว้อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23และไม่ใช่กรณีที่ศาลกำหนดเวลาเองโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะการที่ศาลชั้นต้นยังสั่งรับไว้ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ยื่นอุทธรณ์โดยวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา229 การยื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่2จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4100/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่วางค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมตามกำหนด แม้ศาลจะขยายเวลาให้แล้ว
จำเลยที่2ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่15เมษายน2537โดยมิได้เสียค่าขึ้นศาลและมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นมาวางพร้อมอุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา229และจำเลยที่2ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการวางเงินดังกล่าวออกไป7วันซึ่งศาลชั้นต้นก็สั่งอนุญาตแล้วจึงยังไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่2ในวันยื่นอุทธรณ์นั้นและต่อมาปรากฎว่าจำเลยที่2ก็มิได้นำเงินดังกล่าวมาวางภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตขยายให้แม้ต่อมาภายหลังศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งขยายระยะเวลาให้อีกแต่ก็มิได้สั่งก่อนสิ้นระยะเวลาที่อนุญาตให้ขยายไว้เดิมและไม่ปรากฎว่ามีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยที่ศาลชั้นต้นจะสั่งขยายระยะเวลาดังกล่าวอีกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23และไม่ใช่กรณีที่ศาลกำหนดเวลาเองโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะดังนั้นเมื่อจำเลยที่2เพิ่งวางเงินดังกล่าวเมื่อวันที่23มิถุนายน2537ซึ่งล่วงเลยกำหนดระยะเวลาการวางเงินตามที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตขยายระยะเวลาให้ในครั้งแรกดังกล่าวแล้วแม้ศาลชั้นต้นยังสั่งรับไว้ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ยื่นอุทธรณ์โดยได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา229หรือภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตขยายให้โดยชอบการยื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่2จึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3987/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการวินิจฉัยประเด็นนอกคำขอและประเด็นนอกประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาโจทก์มีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญาได้ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้จึงได้บอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญาจำเลยให้การเพียงว่ามิได้ประพฤติผิดสัญญาโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่สุจริตและคดีโจทก์ขาดอายุความโดยคำให้การจำเลยมิได้โต้เถียงว่าค่าปรับเป็นรายวันตามที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบประการใดเท่ากับยอมรับว่าค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาในกรณีโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุจำเลยผิดสัญญาเป็นจำนวนตามที่โจทก์อ้างคดีจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนตามฟ้องได้หรือไม่ทั้งในการชี้สองสถานศาลก็ไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ไว้และปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3939/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสั่งรับฟ้องก่อนการชำระค่าขึ้นศาลเป็นเหตุให้คำสั่งและกระบวนการพิจารณาต่อมาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ในคดีที่โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในเวลายื่นคำฟ้องนั้น หากศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องของโจทก์และกำหนดระยะเวลาให้โจทก์แถลงเกี่ยวกับกรณีที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้อีกฝ่ายไม่ได้ทั้ง ๆ ที่โจทก์ยังมิได้เสียค่าขึ้นศาล และศาลยังมิได้กำหนดระยะเวลาให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาล คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งรับฟ้องโจทก์ตลอดจนกระบวนพิจารณาต่อจากนั้นจนถึงคำสั่งจำหน่ายคดีย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (2)(ก)กำหนดให้เรียกค่าขึ้นศาลเรื่องละ 200 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3564/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต้องแสดงรายละเอียดคะแนนแต่ละหน่วยเลือกตั้ง การอ้างเหตุลอย ๆ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นมาตรา79แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.2522ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมดังนั้นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงต้องตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองด้วยผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งว่าส. ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารและคณะกรรมการรวมยอดคะแนนเลือกตั้งซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.2522มาตรา51,52โดยจงใจร่วมกันรวมคะแนนให้ผิดไปจากประกาศผลของการนับคะแนน(ส.ส.5)และรายงานการแสดงผลของการนับคะแนน (ส.ส.4)ซึ่งคณะกรรมการตรวจคะแนน506หน่วยส่งมาให้และประกาศผลการรวมคะแนนของผู้ร้องมีคะแนนรวม38,204คะแนนลดลงจากเดิมจำนวน718คะแนนส่วนคะแนนของผู้คัดค้านที่3ได้คะแนนรวม41,515คะแนนเพิ่มจากเดิมจำนวน3,421คะแนนเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดมุกดาหารดังนี้ข้อที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ว่าราชการจังหวัดกับพวกดังกล่าวรวมคะแนนจากรายงานแสดงผลของการนับคะแนน(ส.ส.4)และประกาศผลของการนับคะแนน (ส.ส.5)ผิดพลาดแต่ตามคำร้องของผู้ร้องมิได้บรรยายให้ชัดเจนว่าแต่ละหน่วยเลือกตั้งใน506หน่วยใน7อำเภอผู้ร้องได้คะแนนหน่วยเลือกตั้งละกี่คะแนนคะแนนของผู้ร้องและของผู้คัดค้านที่3ตามรายงานแสดงผลของการนับคะแนน(ส.ส.4)และประกาศผลของการนับคะแนน(ส.ส.5)ของแต่ละหน่วยเลือกตั้งเป็นจำนวนหน่วยเลือกตั้งละกี่คะแนนรวมแล้วเป็นยอดคะแนนรวมดังที่ผู้ร้องอ้างทั้งที่มิได้มีการประกาศผลการนับคะแนนณที่เลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.2522มาตรา71และกฎกระทรวง(พ.ศ.2522)ออกตามความในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.2522ข้อ21และซึ่งผู้ร้องก็รับว่าได้มีการประกาศไว้ที่หน่วยเลือกตั้งแล้วสำหรับข้อที่ผู้ร้องอ้างว่าในวันเลือกตั้งก่อนเวลา18นาฬิกาผู้ร้องได้ตรวจสอบผลการตรวจคะแนนของคณะกรรมการตรวจนับประจำหน่วยเลือกตั้งในเขตจังหวัดมุกดาหารรวม506หน่วยซึ่งเป็นคะแนนที่คณะกรรมการตรวจคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งได้ประกาศผลของการนับคะแนนแก่ประชาชนผู้อยู่ณที่เลือกตั้งความปรากฏว่าผู้ร้องได้ยอดคะแนนรวมทั้งสิ้น38,922คะแนนเป็นคะแนนอันดับ2ส่วนผู้คัดค้านที่2ได้คะแนนรวม43,954คะแนนเป็นคะแนนอันดับที่1ผู้คัดค้านที่3ได้คะแนนรวม38,094คะแนนเป็นคะแนนอันดับ4นั้นก็เป็นตัวเลขจำนวนคะแนนที่ผู้ร้องกล่าวอ้างลอยๆไม่แสดงโดยแจ้งชัดว่าในแต่ละหน่วยเลือกตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่2และที่3ได้คะแนนหน่วยเลือกตั้งละกี่คะแนนรวมแล้วจะเป็นคะแนนรวมดังที่ผู้ร้องอ้างคะแนนแต่ละหน่วยเลือกตั้งดังกล่าวผู้ร้องก็รับว่าได้มีการประกาศไว้ที่หน่วยเลือกตั้งแล้วการที่ผู้ร้องไม่สามารถแสดงตัวเลขจำนวนคะแนนแต่ละหน่วยเลือกตั้งได้แสดงว่าผู้ร้องนำตัวเลขยอดคะแนนรวมที่สำนักงานการประถมศึกษารวม7อำเภอในจังหวัดมุกดาหารได้รายงานมาให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารและสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดมุกดาหารได้รับทราบก่อนจะมีการประกาศผลคะแนนรวมเป็นทางการของจังหวัดและเป็นตัวเลขยอดคะแนนเดียวกับที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดมุกดาหารได้ประกาศผลมาใช้กล่าวอ้างในคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งซึ่งตามคำร้องของผู้ร้องก็รับแล้วว่ายอดคะแนนรวมดังกล่าวเป็นยอดคะแนนที่ไม่เป็นทางการของจังหวัดมุกดาหารและเป็นคะแนนที่ผู้ร้องตรวจสอบเบื้องต้นดังนั้นตัวเลขที่ผู้ร้องอ้างว่าคะแนนรวมของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่3ผิดพลาดตามคำร้องนั้นจึงเห็นได้ว่าเป็นการคิดคำนวณคาดหมายเอาเองตามนัยดังกล่าวมาแล้วเพียงเพื่อจะอ้างเป็นเหตุร้องคัดค้านและเพื่อให้ปรากฎในคำร้องเท่านั้นและหากศาลวินิจฉัยว่าคำร้องเช่นนี้เป็นคำร้องที่ชอบแล้วผลที่ตามมาก็คือผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดเพียงแต่สงสัยการรวมคะแนนของผู้ว่าราชการจังหวัดผู้มีหน้าที่รวมยอดคะแนนการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.2522มาตรา76ก็อาจยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งเพื่อให้ศาลทำหน้าที่รวมคะแนนจากรายงานแสดงผลของการนับคะแนน(ส.ส.4)และประกาศของการนับคะแนน(ส.ส.5)ให้ใหม่ได้ทุกรายไปคำร้องของผู้ร้องจึงเลื่อนลอยเป็นคำร้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองจึงไม่อาจรับคำร้องไว้พิจารณาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2280/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนมรดกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผลกระทบต่อบุคคลภายนอกผู้รับโอน
ห.เป็นบุตรจำเลยกับ อ. โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ ห.กับพวกโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยโอนที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของ อ.ให้นาง อำนวยเพียงผู้เดียวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยมิใช่ผู้จัดการมรดกขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นมรดกของ อ.คืนให้กองมรดกเป็นการกล่าวอ้างว่านาง อำนวยมีส่วนร่วมกับจำเลยกระทำการโต้แย้งสิทธิ ห.กับพวกโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยแทน ห.กับพวกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1562ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการพ.ศ.2521มาตรา5(1)โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนาง อำนวยได้ด้วยเพราะมูลคดีเกี่ยวข้องกันเมื่อโจทก์ไม่ฟ้องนาง อำนวยมาด้วยศาลจึงไม่อาจพิพากษาคดีให้มีผลไปถึงนาง อำนวยผู้รับโอนที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179-180/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนหุ้นไม่ชอบตามข้อบังคับบริษัท ทำให้ผู้รับโอนไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ขณะที่มีการโอนหุ้นจำเลยที่ 1 มีกรรมการ 5 คน และตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1ระบุว่า การประชุมกรรมการจะต้องมีคณะกรรมการเข้าประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งจึงจะเป็นองค์ประชุมปรึกษากิจการได้ ดังนั้น การที่กรรมการของจำเลยที่ 1 เพียง 2 คน ลงชื่ออนุมัติในการโอนหุ้นย่อมถือไม่ได้ว่าคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 เห็นชอบในการโอนหุ้นเมื่อการที่จำเลยที่ 2 โอนหุ้นให้แก่จำเลยที่ 3 เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยที่ 1 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3ได้เข้าร่วมประชุมและออกเสียงในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยที่ 1 และย่อมส่งผลให้การประชุมและมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ในครั้งดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ไปด้วยชอบที่จะให้เพิกถอนมติที่ประชุมของจำเลยที่ 1 นั้นเสีย
ข้อฎีกาที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ข้อฎีกาที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย