พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1095/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง และผลผูกพันของคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ และทำให้พืชผลของโจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษ และให้จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินและใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองปลูกพืชผลในที่พิพาทตลอดมา การกระทำของจำเลยไม่เป็นการบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกาว่าต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์และทำให้พืชผลของโจทก์เสียหาย ดังนี้ เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 สำหรับคดีส่วนแพ่ง แม้ที่พิพาทมีราคา 20,000 บาท ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46ว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นการบุกรุกหรือทำให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแขวงและการอุทธรณ์คำพิพากษายกฟ้องในคดีอาญา: การจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงพิจารณาพิพากษาเมื่อศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ว่าไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ย่อมอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 22 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ ห้ามโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
แม้ศาลชั้นต้นจะได้กล่าวความไว้ในคำพิพากษามีข้อความต่าง ๆดังที่โจทก์อ้างว่าเป็นเรื่องนอกสำนวนหรือมีข้อเท็จจริงผิดไปจากสำนวนก็ดีเมื่อข้อความเหล่านั้นไม่เป็นข้อความสำคัญอันเป็นประเด็นข้อแพ้ชนะทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้อาศัยเฉพาะความตามที่โจทก์ยกขึ้นอ้างนั้นแต่ประการเดียว เป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
แม้ศาลชั้นต้นจะได้กล่าวความไว้ในคำพิพากษามีข้อความต่าง ๆดังที่โจทก์อ้างว่าเป็นเรื่องนอกสำนวนหรือมีข้อเท็จจริงผิดไปจากสำนวนก็ดีเมื่อข้อความเหล่านั้นไม่เป็นข้อความสำคัญอันเป็นประเด็นข้อแพ้ชนะทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้อาศัยเฉพาะความตามที่โจทก์ยกขึ้นอ้างนั้นแต่ประการเดียว เป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากจำคุกเป็นรอการลงโทษโดยศาลอุทธรณ์: ข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในคดีที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปีเช่นนี้ แม้จะถือว่าเป็นการแก้มาก แต่ก็ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับฟังข้อเท็จจริงใหม่ที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังไว้ ยืนตามคำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นคนร้ายรับทรัพย์ของผู้เสียหายไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ฐานหลักทรัพย์ดังนี้ เป็นการฟังข้อเท็จจริงว่าทรัพย์นั้นอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายในขณะลักแล้ว ต่อมาจำเลยบังอาจรับทรัพย์นั้นไว้ จึงมีความผิดฐานรับของโจร จำเลยจะฎีกาขอให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นว่าทรัพย์ของผู้เสียหายอยู่ในความครอบครองของจำเลยโดยโจทก์มอบหมาย แล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอกหาได้ไม่ เพราะเป็นการฎีกาขอให้ฟังข้อเท็จจริงผิดจากที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาเรื่องรับของโจร: การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังขัดต่อวิธีพิจารณา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นคนร้ายรับทรัพย์ของผู้เสียหายไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ดังนี้ เป็นการฟังข้อเท็จจริงว่าทรัพย์นั้นอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายในขณะลักแล้ว ต่อมาจำเลยบังอาจรับทรัพย์นั้นไว้ จึงมีความผิดฐานรับของโจร จำเลยจะฎีกาขอให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นว่าทรัพย์ของผู้เสียหายอยู่ในความครอบครองของจำเลยโดยโจทก์มอบหมาย แล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอกหาได้ไม่ เพราะเป็นการฎีกาขอให้ฟังข้อเท็จจริงผิดจากที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334-335/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยไม่เคยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงเฉพาะตัว ย่อมไม่อาจฎีกาได้ภายหลัง แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะคดีอื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองคน โจทก์อุทธรณ์ส่วนจำเลยคนหนึ่งอุทธรณ์ อีกคนหนึ่งมิได้อุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยคนที่อุทธรณ์ แต่สำหรับจำเลยคนที่มิได้อุทธรณ์ คงพิพากษาลงโทษตามเดิมโดยมิได้แก้ไขแต่อย่างใดเช่นนี้จำเลยคนที่มิได้อุทธรณ์ไว้จะฎีกาไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 628/2496)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในข้อเท็จจริง: การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้ตายไม่มีอาวุธ
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายไม่มีอาวุธปืน แต่เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลสมควรทำให้จำเลยสำคัญผิดเข้าใจว่าผู้ตายมีอาวุธปืนและกำลังจะยิงทำร้ายจำเลยในระยะห่างกัน 2 วา อันนับได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงตัวจำเลย จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิกระทำเพื่อป้องกันตนได้และการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตนไป 1 นัดในทันทีนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ด้วย ความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคแรก
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2514)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในข้อเท็จจริง: การป้องกันตนโดยชอบธรรม แม้ผู้ตายไม่มีอาวุธ
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายไม่มีอาวุธปืน แต่เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลสมควรทำให้จำเลยสำคัญผิดเข้าใจว่าผู้ตายมีอาวุธปืนและกำลังจะยิงทำร้ายจำเลยในระยะห่างกัน 2 วา อันนับได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงตัวจำเลย จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิกระทำเพื่อป้องกันตนได้และการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตนไป 1 นัดในทันทีนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ด้วย ความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคแรก
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2514)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสิทธิเช่าและการพิพากษาที่ไม่สมบูรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่าต้องฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อพิพากษาคดีให้ถูกต้อง
โจทก์มิได้รับข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่า ล. ผิดสัญญากับจำเลยร่วมโดยทำการก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา จำเลยร่วมจึงได้บอกเลิกสัญญาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย
โจทก์เช่าตึกพิพาทจาก ล. โดยให้โจทก์มีสิทธิให้เช่าช่วงได้จำเลยเช่าช่วงตึกแถวจากโจทก์ จำเลยค้างชำระค่าเช่า โจทก์จึงฟ้องขับไล่และให้จำเลยชำระค่าเช่า จำเลยให้การว่าตึกพิพาทเป็นของกระทรวงการคลังกระทรวงการคลังให้ ล. สร้างแล้วยกให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังให้ล. เช่า ล. ก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา กระทรวงการคลังจึงบอกเลิกสัญญาล. จึงหมดสิทธิที่จะเช่าอาคารพิพาท ดังนี้ ไม่ใช่เรื่องที่บุคคลหลายคนเรียกร้องเอาอสังหาริมทรัพย์อันเดียวกันอาศัยมูลสัญญาเช่าต่างราย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 543
โจทก์เช่าตึกพิพาทจาก ล. โดยให้โจทก์มีสิทธิให้เช่าช่วงได้จำเลยเช่าช่วงตึกแถวจากโจทก์ จำเลยค้างชำระค่าเช่า โจทก์จึงฟ้องขับไล่และให้จำเลยชำระค่าเช่า จำเลยให้การว่าตึกพิพาทเป็นของกระทรวงการคลังกระทรวงการคลังให้ ล. สร้างแล้วยกให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังให้ล. เช่า ล. ก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา กระทรวงการคลังจึงบอกเลิกสัญญาล. จึงหมดสิทธิที่จะเช่าอาคารพิพาท ดังนี้ ไม่ใช่เรื่องที่บุคคลหลายคนเรียกร้องเอาอสังหาริมทรัพย์อันเดียวกันอาศัยมูลสัญญาเช่าต่างราย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 543
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1830/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจลงโทษของศาล: การฎีกาเรื่องโทษที่ไม่สามารถทำได้ในปัญหาข้อเท็จจริง
ดุลพินิจของศาลเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 2 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษปรับสถานเดียวคนละ 200 บาทเป็นเรื่องดุลพินิจของศาลแม้จะแก้ไขมาก ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220