พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1755/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีแพ่งต้องผูกพันตามข้อเท็จจริงที่ศาลตัดสินในคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งและคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกันมาในคำฟ้องฉบับเดียวกัน การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่โจทก์กล่าวหาในส่วนอาญาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดว่า เป็นใบมอบอำนาจเอกสารที่แท้จริงถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ดังนี้ คดีในส่วนแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาบังคับให้ตามคำขอได้ ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่โจทก์กล่าวหาในส่วนอาญาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดว่า เป็นใบมอบอำนาจเอกสารที่แท้จริงถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ดังนี้ คดีในส่วนแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาบังคับให้ตามคำขอได้ ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1755/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาในคดีแพ่ง: ศาลต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอาญาชี้ขาด
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งและคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกันมาในคำฟ้องฉบับเดียวกัน การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่โจทก์กล่าวหาในส่วนอาญาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดว่า เป็นใบมอบอำนาจเอกสารที่แท้จริงถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ดังนี้ คดีในส่วนแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาบังคับให้ตามคำขอได้ ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่โจทก์กล่าวหาในส่วนอาญาว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดถึงที่สุดว่า เป็นใบมอบอำนาจเอกสารที่แท้จริงถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ดังนี้ คดีในส่วนแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมและเอกสารต่าง ๆ ศาลจึงไม่อาจพิจารณาบังคับให้ตามคำขอได้ ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1748/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตควบคุมการแปรรูปไม้เป็นองค์ประกอบความผิด การพิสูจน์ข้อเท็จจริงสำคัญ
เขตควบคุมการแปรรูปไม้เป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่าท้องที่เกิดเหตุเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ คดีก็ฟังไม่ได้ว่าท้องที่เกิดเหตุที่จำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องอาญาและการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่ศาลแขวง
โจทก์รู้เรื่องความผิดที่กล่าวหาว่าจำเลยหมิ่นประมาทเปิดเผยความลับและทำให้เสียทรัพย์และรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2510 แล้วโจทก์มาฟ้องคดีขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 322, 358 เมื่อวันที่7 พฤศจิกายน 2510 เกินกำหนด 3 เดือน โดยโจทก์มิได้ร้องทุกข์ไว้คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96
ศาลแขวงวินิจฉัยคดีข้อหาฐานลักทรัพย์ว่าการกระทำของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่ากระทำโดยทุจริต พอแปลความหมายได้ว่าพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยเอาทรัพย์ไปด้วยเจตนาทุจริตเป็นลักทรัพย์ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงอยู่แล้ว เมื่อมีฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลแขวงวินิจฉัยคดีข้อหาฐานลักทรัพย์ว่าการกระทำของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่ากระทำโดยทุจริต พอแปลความหมายได้ว่าพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยเอาทรัพย์ไปด้วยเจตนาทุจริตเป็นลักทรัพย์ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงอยู่แล้ว เมื่อมีฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม: ค่าเช่าที่ดินต่ำกว่าเกณฑ์กฎหมายคุ้มครองการเช่า
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากที่ดิน จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าที่พิพาทอาจจะให้เช่าได้ในอัตราเดือนละเท่าใด แต่ปรากฏจากคำให้การของจำเลยว่า จำเลยอยู่ในที่พิพาทในฐานะเป็นผู้เช่า เสียค่าเช่าในอัตราเดือนละ 50 บาท ไม่มีการได้แย้งเป็นอย่างอื่นและจำเลยเป็นผู้อุทธรณ์ฎีกา ก็ชอบที่จะถือตามที่จำเลยกล่าวอ้างในคำให้การอัตราค่าเช่าเดือนละ 50 บาท ดังนั้น คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นกรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นกรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีขับไล่: ศาลฎีกาถือตามคำให้การจำเลยเรื่องค่าเช่าต่ำกว่าเกณฑ์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากที่ดิน จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ในคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าที่พิพาทอาจจะให้เช่าได้ในอัตราเดือนละเท่าใด แต่ปรากฏจากคำให้การของจำเลยว่า จำเลยอยู่ในที่พิพาทในฐานะเป็นผู้เช่า เสียค่าเช่าในอัตราเดือนละ 50 บาท ไม่มีการโต้แย้งเป็นอย่างอื่น และจำเลยเป็นผู้อุทธรณ์ฎีกา ก็ชอบที่จะถือตามที่จำเลยกล่าวอ้างในคำให้การว่าอัตราค่าเช่าเดือนละ 50 บาท ดังนั้น คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1459/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับการปฏิบัติตามคำสั่งศาลแล้วกลับฎีกา และการไต่สวนข้อเท็จจริงของผู้ถูกกล่าวหาที่เพิ่งเข้ามาในคดี
เมื่อจำเลยถูกศาลออกหมายจับมาฐานขัดขืนไม่ยอมออกจากที่พิพาทจำเลยแถลงว่ารับรองจะออกไปจากที่พิพาทและไม่เกี่ยวข้องอีกแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ศาลชั้นต้นจึงสั่งปล่อยตัวไป คำแถลงของจำเลยเช่นนี้ เป็นการยอมรับว่าจำเลยยังคงอยู่ในที่พิพาทขณะที่ศาลมีคำสั่งและจะยอมออกไปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง จำเลยจะฎีกาเถียงว่าจำเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่พิพาทและไม่ได้ฝ่าฝืนคำบังคับของศาลย่อมฟังไม่ขึ้น
ศาลชั้นต้นออกหมายจับผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาโดยถือว่าเป็นบริวารจำเลยซึ่งขัดขืนไม่ยอมออกจากที่พิพาท ผู้ร้องแถลงคัดค้านในวันที่ถูกจับตัวมาส่งศาลว่า ที่ที่ตนอยู่นั้นอยู่นอกที่พิพาทย่อมเท่ากับผู้ร้องต่อสู้ว่า ตนมิได้เป็นบริวารจำเลยและไม่ได้อยู่ในที่พิพาท ศาลจะต้องทำการไต่สวนระหว่างโจทก์กับผู้ร้องให้ได้ความว่า ผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยและอยู่ในที่พิพาทจริงหรือไม่เสียก่อน จะด่วนจับขังผู้ร้องไปทีเดียวยังไม่ชอบ แม้ศาลจะได้ไต่สวนระหว่างโจทก์จำเลยในเรื่องเดียวกันนี้มาแล้ว ก็ไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งยังไม่เข้ามาในคดี
ศาลชั้นต้นออกหมายจับผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาโดยถือว่าเป็นบริวารจำเลยซึ่งขัดขืนไม่ยอมออกจากที่พิพาท ผู้ร้องแถลงคัดค้านในวันที่ถูกจับตัวมาส่งศาลว่า ที่ที่ตนอยู่นั้นอยู่นอกที่พิพาทย่อมเท่ากับผู้ร้องต่อสู้ว่า ตนมิได้เป็นบริวารจำเลยและไม่ได้อยู่ในที่พิพาท ศาลจะต้องทำการไต่สวนระหว่างโจทก์กับผู้ร้องให้ได้ความว่า ผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยและอยู่ในที่พิพาทจริงหรือไม่เสียก่อน จะด่วนจับขังผู้ร้องไปทีเดียวยังไม่ชอบ แม้ศาลจะได้ไต่สวนระหว่างโจทก์จำเลยในเรื่องเดียวกันนี้มาแล้ว ก็ไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งยังไม่เข้ามาในคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์: การพิสูจน์ข้อเท็จจริงนอกเหนือจากสัญญา และความรับผิดของผู้อยู่อาศัยโดยละเมิด
ตามหนังสือสัญญาเช่าตึกพิพาท ปรากฏว่าผู้เช่าคือจำเลยที่ 1 เท่านั้นและค่าเช่าเพียงเดือนละ 60 บาท โจทก์ผู้ให้เช่าจะนำสืบว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าด้วย และค่าเช่าเดือนละ 445.42 บาท ดังนี้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ครบกำหนดสัญญาเช่าตึกและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1ผู้เช่าไม่ส่งมอบตึกและจำเลยที่ 2 ทำการค้าอยู่ในตึกพิพาทต่อมา การอยู่ต่อมาของจำเลยที่ 2 เป็นการอยู่โดยละเมิดจริงดังฟ้อง แม้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าด้วยแต่ศาลฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าแต่ผู้เดียว ดังนี้ ก็ต้องพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 2 ด้วย และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหาย กับร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
ครบกำหนดสัญญาเช่าตึกและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1ผู้เช่าไม่ส่งมอบตึกและจำเลยที่ 2 ทำการค้าอยู่ในตึกพิพาทต่อมา การอยู่ต่อมาของจำเลยที่ 2 เป็นการอยู่โดยละเมิดจริงดังฟ้อง แม้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าด้วยแต่ศาลฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าแต่ผู้เดียว ดังนี้ ก็ต้องพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 2 ด้วย และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหาย กับร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงและการวินิจฉัยของศาลฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นต้องห้าม
จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ตามมาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้และพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม – ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ตามมาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้ และพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น