พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 781/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบร่วมกันกระทำผิด: ปัญหาข้อเท็จจริงที่ฎีกาไม่ได้
ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฉะนั้นเมื่อศาลล่างทั้งสองตัดสินต้องกันมาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดและกรณีเข้าเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 แล้วจำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อนี้ไม่ได้ (เทียบฎีกาที่ 312/2475)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และข้อจำกัดในการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทราคา 1,400 บาทเป็นของจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ที่ดิน 3 ใน 4 เป็นของโจทก์ทั้งสาม อีกส่วนหนึ่งเป็นของจำเลย ที่ดิน 3 ใน 4 นี้ราคา 1,050 บาท ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อย ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพบาดแผลสาหัส: ศาลพิจารณาจากระยะเวลาและการยอมรับข้อเท็จจริงของผู้ต้องหา
เมื่อฟ้องโจทก์บรรยายว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัสโดยแจ้งชัดตามกฎหมายว่าสาหัสทุพพลภาพป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต ขาเป๋และทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน และจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้ว และเมื่อนับจากวันเกิดเหตุที่ผู้เสียหายถูกจำเลยทำร้ายจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องและจำเลยรับสารภาพก็เป็นเวลาร่วม 10 เดือน ซึ่งเท่ากับจำเลยยอมรับในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้ว จึงเป็นบาดแผลสาหัสตามกฎหมายจริงโดยไม่มีข้อโต้แย้งคัดค้าน ศาลจึงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41-44/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ศาลฎีกาห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อปรากฏว่ากรณีพิพาทเป็นเรื่องเถียงกรรมสิทธิ์ที่ดินว่าเป็นของโจทก์หรือจำเลย แม้โจทก์จะมีกำขอให้ห้ามจำเลยกับบริวาร เข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาท และขอให้สั่งเพิกถอนโฉนดของจำเลยเสียด้วย ก็เป็นเพียงผลต่อเนื่องในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอันเป็นเพียงส่วนของคำขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินนั่นเอง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ดังนั้น เมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ก็ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกา ศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41-44/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อปรากฏว่ากรณีพิพาทเป็นเรื่องเถียงกรรมสิทธิ์ที่ดินว่า เป็นของโจทก์หรือจำเลย แม้โจทก์จะมีคำขอให้ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทและขอให้สั่งเพิกถอนโฉนดของจำเลยเสียด้วย ก็เป็นเพียงผลต่อเนื่องในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอันเป็นเพียงส่วนของคำขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินนั่นเองจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ดังนั้น เมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ก็ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อิสระในการพิจารณาคดีอาญา: ศาลไม่ผูกพันตามข้อเท็จจริงในคดีก่อน & การอ้างเอกสารพยาน
ในคดีอาญา แม้จำเลยจะนำสืบถึงพยานเอกสารใดโดยมิได้นำพยานเอกสารนั้นไปซักค้านพยานโจทก์ให้อธิบายไว้เสียก่อน จำเลยก็ยังอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้
ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับว่าการพิจารณาคดีอาญาที่กล่าวหากันด้วยข้อเท็จจริงที่ได้เคยมีการวินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีเรื่องก่อนแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีหลังจะต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยไว้ในคดีก่อน
ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับว่าการพิจารณาคดีอาญาที่กล่าวหากันด้วยข้อเท็จจริงที่ได้เคยมีการวินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีเรื่องก่อนแล้ว ศาลที่พิจารณาคดีหลังจะต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยไว้ในคดีก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นเหตุต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามกฎหมาย
ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดโจทก์อุทธรณ์ว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต และว่าศาลตีความเจตนาของจำเลยโดยไม่ชอบ ดังนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟัง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟัง เป็นการอุทธรณ์ต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดโจทก์อุทธรณ์ว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต และว่าศาลตีความเจตนาของจำเลยโดยไม่ชอบ ดังนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟัง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขืนใจและบุกรุก: ฟ้องไม่ชัดแจ้งข้อเท็จจริงแสดงความกลัวหรือการร่วมกระทำความผิด ศาลยกฟ้องได้
ความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่นเมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงบรรยายมาว่า จำเลยคนใดทำให้โจทก์กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อเสรีภาพของโจทก์อย่างไรบ้างศาลย่อมสั่งยกฟ้องในข้อหาความผิดฐานนี้ได้
ฟ้องหาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำบุกรุกอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 83 เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่บรรยายว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกระทำบุกรุกกับจำเลยที่ 1 หรือเป็น ผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 อย่างไรศาลย่อมสั่งยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในข้อหานี้ไปเสียได้เช่นกัน
ฟ้องหาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำบุกรุกอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 83 เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่บรรยายว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกระทำบุกรุกกับจำเลยที่ 1 หรือเป็น ผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 อย่างไรศาลย่อมสั่งยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในข้อหานี้ไปเสียได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1590/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดทุนทรัพย์คดีครอบครองปรปักษ์ การรวมฟ้องจำเลยหลายคน และการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องจำเลย 2 คนว่า เข้าไปยึดถือที่ดินครอบครองแปลงหนึ่งของโจทก์คนละส่วนคนละตอน คำฟ้องไม่ปรากฏข้ออ้างว่าจำเลยร่วมกันทำละเมิดสิทธิของโจทก์ แม้โจทก์จะได้รวมฟ้องจำเลยทั้งสองเข้ามาเป็นคดีเดียวกัน การที่จะดูว่าคดีอย่างนี้มีทุนทรัพย์เท่าใด จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ นั้น จะต้องถือตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนต่างเข้าไปละเมิดยึดถือ ไม่ใช่ว่าจะนับรวมกันได้