คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บังคับคดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าทรัพย์หลังถูกยึด: สิทธิเช่าไม่ผูกพันผู้ซื้อจากการบังคับคดี
จำเลยเช่าห้องพิพาทภายหลังที่ห้องพิพาทถูกยึดในการบังคับคดีในคดีก่อนจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนั้น แม้โจทก์รับโอนห้องพิพาทจากผู้ซื้อในการบังคับคดีภายหลังที่จำเลยได้เช่าห้องพิพาทแล้วดังนี้ ห้องพิพาทได้ถูกยึดและขายโดยไม่มีการเช่าติดไปด้วย จำเลยไม่สามารถอ้างการเช่าขึ้นยันโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ขายห้องพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 เพราะการเช่าของจำเลยเป็นสิทธิที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ก่อให้เกิดขึ้นในทรัพย์สินภายหลังที่ถูกยึดแล้ว ผู้ซื้อและรับโอนต่อไปจึงได้ทรัพย์สินที่ซื้อไปโดยปลอดจากการเช่าจำเลยจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 มาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 ไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าโดยสุจริตหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าทรัพย์หลังถูกยึด: สิทธิการเช่าย่อมไม่ผูกพันผู้ซื้อในการบังคับคดี
จำเลยเช่าห้องพิพาทภายหลังที่ห้องพิพาทถูกยึดในการบังคับคดีในคดีก่อนจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนั้น. แม้โจทก์รับโอนห้องพิพาทจากผู้ซื้อในการบังคับคดีภายหลังที่จำเลยได้เช่าห้องพิพาทแล้ว. ดังนี้ ห้องพิพาทได้ถูกยึดและขายโดยไม่มีการเช่าติดไปด้วย. จำเลยไม่สามารถอ้างการเช่าขึ้นยันโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ขายห้องพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305.เพราะการเช่าของจำเลยเป็นสิทธิที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ก่อให้เกิดขึ้นในทรัพย์สินภายหลังที่ถูกยึดแล้ว. ผู้ซื้อและรับโอนต่อไปจึงได้ทรัพย์สินที่ซื้อไปโดยปลอดจากการเช่า.จำเลยจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 มาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา305. ไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าโดยสุจริตหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 998/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการพิสูจน์การชำระหนี้: ใบรับเงินนอกศาลและการพิจารณาคดีอาญา
เมื่อโจทก์ปฏิเสธว่าโจทก์และสามีโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากจำเลยตามใบรับเงินที่จำเลยอ้าง จำเลยจะอ้างใบรับเงินที่ทำนอกศาลมาเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 417/2504) ส่วนการที่จำเลยอ้าวว่าได้ชำระเงินให้สามีโจทก์ หากเป็นจริง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาเงินคืนจากสามีโจทก์อีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และการที่จำเลยอ้างว่าโจทก์และสามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่าปลอมหรือใช้ใบรับเงินปลอม และศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ ซึ่งมีความหมายว่า ใบรับเงินไม่ปลอม ถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลย ต้องรับฟังยันโจทก์ในการบังคับคดีได้นั้น ปรากฎว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีอาญาเพียงแต่วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์อยู่ในฐานสงสัย ฟังไม่ถนัดว่าจำเลยปลอมใบรับเงิน ยังลงโทษจำเลยทางอาญาไม่ได้เท่านั้น มิได้วินิจฉัยเลยไปว่าจำเลยชำระเงินให้สามีโจทก์หรือไม่ ฉะนั้นจึงรับฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ว่าจำเลยชำระเงินให้สามีโจทก์แล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยจะว่ากล่าวกับสามีโจทก์ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 998/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการอ้างเอกสารนอกศาล การพิพากษาคดีอาญาไม่ถือเป็นการชำระหนี้
เมื่อโจทก์ปฏิเสธว่าโจทก์และสามีโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากจำเลยตามใบรับเงินที่จำเลยอ้าง จำเลยจะอ้างใบรับเงินที่ทำนอกศาลมาเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 417/2504)
ส่วนการที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระเงินให้สามีโจทก์ หากเป็นความจริง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาเงินคืนจากสามีโจทก์อีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และการที่จำเลยอ้างว่าโจทก์และสามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่าปลอมหรือใช้ใบรับเงินปลอม และศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ ซึ่งมีความหมายว่า ใบรับเงินไม่ปลอม ถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลย ต้องรับฟังยันโจทก์ในการบังคับคดีได้นั้น ปรากฏว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีอาญาเพียงแต่วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์อยู่ในฐานสงสัย ฟังไม่ถนัดว่าจำเลยปลอมใบรับเงิน ยังลงโทษจำเลยทางอาญาไม่ได้เท่านั้น มิได้วินิจฉัยเลยไปว่าจำเลยชำระเงินให้สามีโจทก์หรือไม่ ฉะนั้นจึงรับฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ว่าจำเลยชำระเงินให้สามีโจทก์แล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยจะว่ากล่าวกับสามีโจทก์ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 869/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าปากเปล่าและการบังคับคดีค่าเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538
เช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ในกรณีเรียกค่าเช่า ผู้เช่าเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิด ใบเสร็จรับเงินค่าเช่าที่มีแต่ลายมือชื่อของผู้ให้เช่า ไม่ใช่หลักฐานที่มีลายมือชื่อของผู้เช่า ฉะนั้น ผู้ให้เช่าจะฟ้องเรียกค่าเช่าจากผู้เช่าโดยอาศัยใบเสร็จรับเงินดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีสัญญาประนีประนอมยอมความ: ศาลไม่อาจบังคับคดีเมื่อทรัพย์ตามสัญญาถูกขายไปแล้ว
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลระบุว่าทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้โจทก์และทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้จำเลย ทรัพย์ที่โจทก์จำเลยได้รับแบ่งไปเป็นส่วนของตนนี้มีสัญญายอมความอีกข้อหนึ่งบังคับไว้ว่า ทั้งโจทก์จำเลยจะต้องทำพินัยกรรมยกทรัพย์นั้นๆให้แก่บุตรของโจทก์และจำเลย ต่อมาโจทก์เอาทรัพย์ส่วนแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีข้อผูกมัดให้โจทก์ต้องทำพินัยกรรมยกให้แก่บุตรนั้นไปขายให้แก่บุคคลอื่นเสียบางส่วน เช่นนี้จึงเป็นกรณีที่ไม่สามารถจะบังคับให้โจทก์ผู้เป็นลูกหนี้ปฏิบัติตามคำบังคับที่จำเลยร้องขอให้จับขังโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 297 ที่ศาลจะมีคำสั่งจับกุมและกักขังโจทก์ ผู้เป็นลูกหนี้ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อมีการขายทรัพย์ตามพินัยกรรม: ศาลไม่อาจบังคับคดีได้
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลระบุว่าทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้โจทก์และทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้จำเลย ทรัพย์ที่โจทก์จำเลยได้รับแบ่งไปเป็นส่วนของตนนี้มีสัญญายอมความอีกข้อหนึ่งบังคับไว้ว่า ทั้งโจทก์จำเลยจะต้องทำพินัยกรรมยกทรัพย์นั้น ๆ ให้แก่บุตรของโจทก์และจำเลย ต่อมาโจทก์เอาทรัพย์ส่วนแบ่งตาม สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีข้อผูกมัดให้โจทก์ต้องทำพินัยกรรม ยกให้แก่บุตรนั้นไปขายให้แก่บุคคลอื่นเสียบางส่วน เช่นนี้จึงเป็นกรณี ที่ไม่สามารถจะบังคับให้โจทก์ผู้เป็นลูกหนี้ปฏิบัติตามคำบังคับที่จำเลยร้องขอให้จับขังโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 297 ที่ศาลจะมีคำสั่งจับกุมและกักขังโจทก์ ผู้เป็นลูกหนี้ให้ ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการจำหน่ายทรัพย์สินที่ถูกจำกัดสิทธิโดย พ.ร.ฎ.แนวทางหลวง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการบังคับคดีสามารถทำได้หากได้รับอนุญาต
จำเลยฎีกาขอให้สั่งงดการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดจากจำเลย โดยอ้างว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกโจทก์นำยึดจะขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล เป็นที่ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งได้มีประกาศห้ามทำการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในเขตส่วนกว้างของแนวทางหลวงหนึ่งพันเมตร โดยการขาย แลกเปลี่ยน ให้ หรือโดยประการอื่น ฯลฯ นั้น ถือว่า แม้ที่ดินจะตกอยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาตามที่จำเลยอ้าง แต่ตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2482 มาตรา 57 ซึ่งบัญญัติให้นำมาตรา 46 มาใช้บังคับในกรณีนี้โดยอนุโลม ก็ได้บัญญัติโดยมีข้อยกเว้นไว้ว่าถ้าได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ย่อมจำหน่ายจ่ายโอนกันได้ มิให้บังคับไว้เด็ดขาด และกรณีเช่นนี้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิ์จะร้องขอให้งดการขาย เพราะเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ตกอยู่ในบังคับที่เจ้าหนี้มีสิทธิ์จะขอให้ยึดมาใช้หนี้ได้ ทั้งเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องดำเนินการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ถูกจำกัดสิทธิเนื่องจาก พ.ร.ฎ. แนวทางหลวง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการบังคับคดีเป็นไปตามกฎหมาย
จำเลยฎีกาขอให้สั่งงดการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดจากจำเลยโดยอ้างว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกโจทก์นำยึดจะขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล เป็นที่ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งได้มีประกาศห้ามทำการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในเขตส่วนกว้างของแนวทางหลวงหนึ่งพันเมตร โดยการขายแลกเปลี่ยน ให้ หรือโดยประการอื่น ฯลฯ นั้น ถือว่าแม้ที่ดินจะตกอยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาตามที่จำเลยอ้างแต่ตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2482 มาตรา 57 ซึ่งได้บัญญัติ ให้นำมาตรา 46 มาใช้บังคับในกรณีนี้โดยอนุโลม ก็ได้บัญญัติโดยมีข้อยกเว้นไว้ว่าถ้าได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ย่อมจำหน่ายจ่ายโอนกันได้ มิได้บังคับไว้เด็ดขาด และกรณีเช่นนี้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะร้องขอให้งดการขาย เพราะเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ตกอยู่ในบังคับที่เจ้าหนี้มีสิทธิจะขอให้ยึดมาใช้หนี้ได้ ทั้งเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องดำเนินการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะบริวารของผู้เช่าช่วงและการบังคับคดีไล่ที่
จำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ผู้ร้องอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนกับจำเลย แต่ไม่มีข้ออ้างประการใดที่อ้างความเป็นหุ้นส่วนนั้นขึ้นยันโจทก์ได้ ผู้ร้องจึงมีฐานะเป็นบริวารจำเลยและอยู่ในฐานะที่จะต้องถูกบังคับให้ออกจากห้องพิพาทได้
of 270