พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1488/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 56 ต้องกำหนดระยะเวลา ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดได้หากศาลอุทธรณ์มิได้กำหนด
การรอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ศาลจะต้องกำหนดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ แต่ต้องไม่เกิน 5 ปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา
เมื่อโจทก์ฎีกาโดยขอให้ศาลฎีกากำหนดเวลารอการลงโทษไปด้วย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาในข้อนี้ได้
เมื่อโจทก์ฎีกาโดยขอให้ศาลฎีกากำหนดเวลารอการลงโทษไปด้วย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาในข้อนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1159/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการฟ้องใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ หากศาลเคยยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิ
แม้คดีนี้โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์ ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่โจทก์เคยฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกับ ญ.บุกรุกในคดีก่อน แต่คดีก่อนนั้นศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยทั้งสองใหม่ภายในกำหนดอายุความดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ได้ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) ฟ้องของโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้ตรงประเด็นข้อพิพาทเรื่องการบุกรุกที่ดิน โดยอ้างอิงแผนที่พิพาทที่คู่ความชี้ และศาลชั้นต้นวินิจฉัย
ชั้นแรกโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เนื้อที่ประมาณ 70 ตารางวา ราคา 6,000 บาท ต่อมาโจทก์ข้อแก้ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินเพิ่มขึ้นรวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ราคา 22,0000 บาท ศาลอนุญาตให้แก้ฟ้องได้แล้ว ในการทำแผนที่พิพาท คู่ความนำชี้ว่าที่พิพาทคือที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ในการสืบพยานของคู่ความและวินิจฉัยของศาลชั้นต้นก็กล่าวว่าที่พิพาทคือที่ดินที่ปรากฏภายในเส้นสีแดงในแผนที่กลาง แต่ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาให้ที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ดังนี้ เป็นการพิพากษาไม่ตรงประเด็นที่คู่ความพิพาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาแก้ไขเสียให้ถูกต้องไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีบุกรุกที่ดินต้องตรงประเด็นที่คู่ความและศาลชั้นต้นวินิจฉัย หากไม่ตรง ศาลฎีกาแก้ไขได้
ชั้นแรกโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เนื้อที่ประมาณ 70 ตารางวา ราคา6,000 บาท ต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินเพิ่มขึ้นรวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ราคา 22,000 บาท ศาลอนุญาตให้แก้ฟ้องได้แล้ว ในการทำแผนที่พิพาท คู่ความนำชี้ว่าที่พิพาทคือที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ในการสืบพยานของคู่ความและวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ก็กล่าวว่าที่พิพาทคือที่ดินที่ปรากฏภายในเส้นสีแดงในแผนที่กลาง แต่ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาให้ที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ดังนี้ เป็นการพิพากษาไม่ตรงประเด็นที่คู่ความพิพาทและศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งแต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาแก้ไขเสียให้ถูกต้องไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและการโต้แย้งดุลพินิจการริบของกลาง ศาลฎีกายกข้ออุทธรณ์เรื่องการริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำรอ 2 ปีของกลางริบ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ริบปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง โจทก์ฎีกาขอให้ริบของกลางไม่ได้ เพราะโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง: สิทธิการสวมสิทธิจำเลยต้องระบุข้อกฎหมายชัดเจน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฎีกาลอย ๆ ว่า โจทก์มีสิทธิจะสวมสิทธิจำเลยต่อผู้ร้องได้ตามกฎหมายเท่านั้น มิได้ยกข้อกฎหมายขึ้นกล่าวอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาว่าโจทก์มีสิทธิจะสวมสิทธิจำเลยต่อผู้ร้องได้ ตามกฎหมายข้อใดประการใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง การสวมสิทธิจำเลยต้องระบุข้อกฎหมายรองรับ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฎีกาลอย ๆ ว่า โจทก์มีสิทธิจะสวมสิทธิจำเลยต่อผู้ร้องได้ตามกฎหมายเท่านั้น มิได้ยกข้อกฎหมายขึ้นกล่าวอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาว่าโจทก์มีสิทธิจะสวมสิทธิจำเลยต่อผู้ร้องได้ตามกฎหมายข้อใดประการใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 537/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเครื่องส่งวิทยุ ศาลฎีกาตัดสินว่ามีพิกัดแยกกัน
พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 ได้บัญญัติพิกัดอัตราศุลกากรขาเข้าสำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า กับเครื่องวิทยุส่งกระจายเสียงไว้แตกต่างกันอย่างละประเภทกล่าวคือเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอยู่ในพิกัดประเภทที่ 85.01 อัตราอากรราคาร้อยละ 11 ส่วนเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงอยู่ในพิกัดประเภท 85.15 อัตราอากรตามราคาร้อยละ 5.5 แม้ตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรที่กรมศุลกากรโจทก์จัดพิมพ์ขึ้นจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับเครื่องจักรไฟฟ้าบางชนิดซึ่งอยู่ในพิกัดของตอนที่ 85 ว่า อาจประกอบด้วยยูนิตต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกันเช่น เครื่องส่งวิทยุและเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ใช้ร่วมกันก็ตาม แต่เครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าก็เป็นเครื่องมือสำหรับจ่ายกำลังงานส่วนเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้นเป็นเครื่องที่ก่อให้เกิดกำลังงาน จึงมิใช่ของอย่างเดียวกันเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าตามตัวอย่างดังกล่าวจึงไม่คลุมถึงเครื่องกำเนิดไฟฟ้าด้วย และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามิใช่ส่วนหนึ่งหรือส่วนประกอบของเครื่องส่งวิทยุ เพราะเครื่องส่งวิทยุที่มีอุปกรณ์ครบชุด ต้องการเพียงกระแสไฟฟ้าพลังงานซึ่งอาจได้มาจากไฟฟ้าของทางราชการ หรือจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็สามารถทำการออกอากาศได้ ดังนั้น เครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่จำเลยนำเข้ามาในราชอาณาจักรแม้นำเข้ามาพร้อมกับเครื่องส่งวิทยุ หรือทำขึ้นโดยมีเจตนาที่จะใช้กับเครื่องส่งวิทยุก็ต้องเสียอากรขาเข้าในพิกัดประเภทที่ 85.01ข. (3)(ก) อัตราร้อยละ 11 ของราคา มิใช่พิกัดประเภทที่ 85.15 ก อัตราร้อยละ 5.5
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 520/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินการตามคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย แม้ศาลอุทธรณ์จะกลับคำพิพากษา แต่เมื่อศาลฎีกาพิพากษากลับ เจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอไว้เดิมยังมีสิทธิ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยลูกหนี้เด็ดขาด ว.เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 27,91 แล้ว แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์จะมีผลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมดอำนาจที่จะดำเนินการ เกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยลูกหนี้ต่อไปก็ตาม แต่คดียังไม่ถึงที่สุด เมื่อศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยลูกหนี้เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ที่กระทำมาแล้ว รวมทั้งดำเนินการในเรื่องคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ต่อไปได้ เมื่อเจ้าพักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศเพียงแต่ให้เจ้าหนี้ที่ยังไม่ได้ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ไว้ให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เท่านั้นไม่รวมถึง ว. เจ้าหนี้หรือเจ้าหนี้อื่นซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น การที่ว.ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่อีกจะถือว่าไม่ประสงค์จะขอรับชำระหนี้ต่อไปไม่ได้ ว. จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุฟ้องเคลือบคลุมต่างจากที่อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่พิจารณาประเด็นใหม่
จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โดยเอกสารโอนสิทธิเรียกร้องตามฟ้องมิใช่เอกสารที่แท้จริง เป็นการยกเหตุแห่งการเคลือบคลุมคนละเหตุกับที่จำเลยยกขึ้นว่ามาในชั้นอุทธรณ์ โดยในชั้นอุทธรณ์จำเลยอ้างว่าฟ้องเคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยชำระหนี้มาแล้วกี่ครั้งจึงเหลือหนี้เงินกู้ 40,000 บาท จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ดังนี้ เหตุแห่งการเคลือบคลุมที่จำเลยอ้างมาในฎีกา จึงมิใช่ข้อที่ว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย