คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5607/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลอุทธรณ์แยกฉบับ: จำเลยแต่ละคนต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ของตน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทกจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คนละฉบับคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในทุนทรัพย์เดียวกันเมื่ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ของแต่ละคน จำเลยแต่ละคนจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในฟ้องอุทธรณ์ของตนจะอ้างว่าจำเลยที่ 1 ได้เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ดังกล่าวเต็มจำนวนแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอีกนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5607/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลอุทธรณ์แยกฉบับ: จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดชอบค่าขึ้นศาลของตนเอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คนละฉบับคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในทุนทรัพย์เดียวกัน เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ของแต่ละคน จำเลยแต่ละคนจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในฟ้องอุทธรณ์ของตน จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 ได้เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ดังกล่าวเต็มจำนวนแล้ว จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอีกนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5607/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลอุทธรณ์แยกฉบับ: จำเลยแต่ละคนต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ของตน แม้ฟ้องร่วมกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คนละฉบับคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในทุนทรัพย์เดียวกัน เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ของแต่ละคน จำเลยแต่ละคนจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในฟ้องอุทธรณ์ของตน จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 ได้เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ดังกล่าวเต็มจำนวนแล้ว จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอีกนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5485/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจ, อากรแสตมป์, และข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีแรงงาน
หนังสือมอบอำนาจแผ่นแรกระบุผู้มอบอำนาจไว้ว่า "ข้าพเจ้า ก.กับพวก รวม 4 คน" ขอมอบอำนาจให้ ส.เป็นผู้มีอำนาจฟ้องบริษัทท.เรื่อง ค่าจ้าง และในช่องผู้มอบอำนาจได้มีลายมือชื่อ ก. โจทก์ที่ 1 ลงไว้แต่ผู้เดียว แต่ในแผ่นที่ 2 ได้มีบัญชีรายชื่อลายมือชื่อ อายุ ที่อยู่ ผู้มอบอำนาจท้ายใบมอบอำนาจ และมีช่องแสดงลำดับที่รายชื่อ ผู้มอบอำนาจลายมือชื่อผู้มอบอำนาจ อายุและที่อยู่ไว้โดยโจทก์ทั้งสี่มีรายชื่อ ในช่องรายชื่อ ผู้มอบอำนาจและลงลายมือชื่อในช่องลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไว้ทุกคน และใช้เป็นเอกสารแนบท้ายหนังสือมอบอำนาจฉบับแรก ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ได้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้ ส. ฟ้องคดีนี้แล้ว โจทก์ทั้งสี่มอบอำนาจให้ ส.ฟ้องบริษัทท. เรื่องค่าจ้างซึ่งเป็นเรื่องเดียวโดยเฉพาะ จึงเป็นการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวกระทำการครั้งเดียวตามข้อ 7(ก) ของบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6เรื่อง อากรแสตมป์ แห่งประมวลรัษฎากร แม้ในหนังสือมอบอำนาจจะมีข้อความว่า โดยให้มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ทั้งสี่ทุกประการรวมทั้งกระบวนพิจารณาที่เป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิของคู่ความ เช่นการยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอน ฟ้องการประนีประนอมยอมความการสละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาหรือในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้ด้วยก็ตาม ก็เป็นเรื่องกระบวนพิจารณาที่ผู้รับมอบอำนาจจำต้องกระทำในการพิจารณาของศาลอันสืบเนื่องมาจากการฟ้องคดีตามที่ได้รับมอบอำนาจ หาใช่เป็นเรื่องอื่นต่างหากจากการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่ ดังนั้น ผู้มอบอำนาจจึงชอบที่จะเสียอากรโดยปิดแสตมป์เพียง 10 บาท อุทธรณ์ของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องขอให้ศาลฎีการับฟังว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันที่โจทก์ลาป่วย โดยจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิได้ป่วยจริง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5256/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.แรงงาน
จำเลยให้การว่าโจทก์รับเงินค่าระวางของจำนวน 600 บาท จากพนักงานของจำเลยแล้วทดเงินไว้เป็นเวลา 7 วัน เป็นการทุจริตต่อหน้าที่และฝ่าฝืนระเบียบของบริษัทจำเลยอย่างร้ายแรงศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ทุจริตเงินค่าระวางของจำนวน 600 บาท หรือไม่ และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินตามฟ้องหรือไม่ ดังนี้ ปัญหาว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ จึงมิได้เป็นข้อพิพาทในคดี เมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทุจริตเงินค่าระวางดังกล่าว อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงจึงมิใช่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ประกอบด้วย มาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 นั้น ศาลแรงงานต้องพิจารณาว่าลูกจ้างกับนายจ้างอาจทำงานร่วมกันต่อไปได้หรือไม่เป็นประการแรกหากไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปจึงจะพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้ลูกจ้างเป็นประการที่สองศาลแรงงานพึงพิพากษาเพียงประการเดียว การที่ศาลแรงงานพิพากษาให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน หากไม่สามารถรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานได้ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้าง อันเป็นการพิพากษาสองประการโดยมีเงื่อนไขนั้นย่อมเป็นการไม่ชอบ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แต่การพิจารณาถึงเหตุสองประการดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลแรงงาน จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5256/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีแรงงาน และคำพิพากษาที่ไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน
จำเลยให้การว่าโจทก์รับเงินค่าระวางของจำนวน 600 บาทจากพนักงานของจำเลยแล้วทด เงินไว้เป็นเวลา 7 วัน เป็นการทุจริตต่อหน้าที่และฝ่าฝืนระเบียบของบริษัทจำเลยอย่างร้ายแรงศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ทุจริตเงินค่าระวางของจำนวน 600 บาทหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินตามฟ้องหรือไม่ดังนี้ ปัญหาว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ จึงมิได้เป็นข้อพิพาทในคดี เมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทุจริตเงินค่าระวางดังกล่าวอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงจึงมิใช่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 49 นั้น ศาลแรงงานต้องพิจารณาว่าลูกจ้างกับนายจ้างอาจทำงานร่วมกันต่อไปได้หรือไม่เป็นประการแรก หากไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปจึงจะพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้ลูกจ้างเป็นประการที่สอง ศาลแรงงานพึงพิพากษาเพียงประการเดียว การที่ศาลแรงงานพิพากษาให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน หากไม่สามารถรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานได้ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้างอันเป็นการพิพากษาสองประการโดยมีเงื่อนไขนั้น ย่อมเป็นการไม่ชอบ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แต่การพิจารณาถึงเหตุสองประการดังกล่าวเป็นดุลพินิจ ของศาลแรงงาน จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีอสังหาริมทรัพย์แม้ทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท ย่อมทำได้ตามกฎหมาย
ทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นเรือนทรงไทย 2 หลังแฝด เป็นอสังหาริมทรัพย์แม้คดีจะมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ก็ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีทรัพย์สิน: แม้คดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท หากเป็นอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่อยู่ในข้อห้ามอุทธรณ์
ทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นเรือนทรงไทย 2 หลังแฝดเป็นอสังหาริมทรัพย์แม้คดีจะมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ก็ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4546/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินของตัวการเมื่อจำเลยเป็นตัวแทนเชิด: ศาลฎีกายกอุทธรณ์เนื่องจากเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลล่างวินิจฉัยแล้ว
ศาลแรงงานกลางฟังว่าผู้ร้องและบริษัทจำเลยเป็นนิติบุคคลที่เกี่ยวพันอันเดียวกัน การจัดตั้งบริษัทจำเลยก็เพื่อเชิดบังหน้าต่อทางราชการและบุคคลภายนอก การดำเนินการของบริษัทจำเลยคือการดำเนินกิจการของผู้ร้อง จำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้อง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยจึงมีสิทธิยึดทรัพย์สินของผู้ร้องซึ่งเป็นตัวการได้ ดังนี้อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำยึด การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวแทนเชิดของผู้ร้องเป็นเรื่องนอกประเด็นนั้นผู้ร้องประสงค์ที่จะให้ศาลฎีการับฟังว่าผู้ร้องกับจำเลยมิได้ร่วมกันดำเนินกิจการดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดทรัพย์ของผู้ร้อง จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4545/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ดอกเบี้ยค่าจ้างที่ค้างชำระ ต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้นก่อน หากมิได้ยกขึ้นและไม่ใช่ปัญหาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างที่จำเลยไม่ชำระและเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าของค่าจ้างที่ค้างชำระทุกเจ็ดวันนับแต่วันถึงกำหนดจ่ายจากจำเลย มิได้ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีของค่าจ้างค้างชำระ ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าเมื่อจำเลยไม่ชำระค่าจ้าง จำเลยต้องจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าจ้างค้างจ่ายนับแต่วันค้างชำระเป็นต้นไป เว้นแต่จะนำค่าจ้างไปมอบแก่อธิบดีกรมแรงงานหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายเพื่อให้ลูกจ้างรับไป จึงจะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย นั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
of 349