พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,604 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานบุคคลเรื่องการชำระหนี้ดอกเบี้ยและเงินต้น แม้ไม่มีหลักฐานหนังสือ
การชำระดอกเบี้ยไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 2 จึงนำสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระดอกเบี้ยแล้วได้ (อ้างฎีกาที่ 243/2503)
การชำระหนี้ด้วยเช็ค เป็นการชำระหนี้ด้วยการออกตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรค 3 ย่อมถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งมิใช่การชำระหนี้ด้วยเงิน ฉะนั้น แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ก็ย่อมรับฟังพยานบุคคลที่นำมาสืบในเรื่องการชำระหนี้ได้ (อ้างฎีกาที่ 767/2505)
การชำระหนี้ด้วยเช็ค เป็นการชำระหนี้ด้วยการออกตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรค 3 ย่อมถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งมิใช่การชำระหนี้ด้วยเงิน ฉะนั้น แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ก็ย่อมรับฟังพยานบุคคลที่นำมาสืบในเรื่องการชำระหนี้ได้ (อ้างฎีกาที่ 767/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานบุคคลการชำระหนี้ดอกเบี้ยและเงินต้นด้วยเช็ค แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
การชำระดอกเบี้ยไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จึงนำสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระดอกเบี้ยแล้วได้ (อ้างฎีกาที่ 243/2503)
การชำระหนี้ด้วยเช็ค เป็นการชำระหนี้ด้วยการออกตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม ย่อมถือได้ ว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งมิใช่การชำระหนี้ด้วยเงิน ฉะนั้น แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ก็ย่อมรับฟังพยานบุคคลที่นำมาสืบในเรื่องการชำระหนี้ได้ (อ้างฎีกาที่ 767/2505)
การชำระหนี้ด้วยเช็ค เป็นการชำระหนี้ด้วยการออกตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม ย่อมถือได้ ว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งมิใช่การชำระหนี้ด้วยเงิน ฉะนั้น แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ก็ย่อมรับฟังพยานบุคคลที่นำมาสืบในเรื่องการชำระหนี้ได้ (อ้างฎีกาที่ 767/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 998-1000/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าเช่าและการฟ้องขับไล่: การส่งค่าเช่าให้ผู้ให้เช่าเดิมไม่ถือเป็นการชำระหนี้ที่ถูกต้องต่อผู้รับโอนสิทธิ
ตามสัญญาเช่าที่จำเลยทำไว้กับผู้ให้เช่าเดิม จำเลยมีหน้าที่ที่จะต้องนำเงินค่าเช่าไปชำระให้แก่โจทก์ ฉะนั้น การที่จำเลยส่งค่าเช่าไปชำระแก่โจทก์และทนายโจทก์ทางธนาณัติโจทก์และทนายโจทก์ไม่ยอมรับ ถือได้ว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ
เมื่อจำเลยตกเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติดกัน เมื่อโจทก์ได้ให้ผู้แทนบอกกล่าวเลิกการเช่า จำเลยไม่ออกไป โจทก์จึงฟ้องขับไล่ได้
ในคดีก่อนศาลวินิจฉัยว่า การเช่าของจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ เห็นได้ว่าศาลในคดีนั้นมิได้วินิจฉัยหรือชี้ขาดในเรื่องค่าเช่า โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เรียกค่าเช่าที่ค้างได้
จำเลยมีหน้าที่ชำระค่าเช่าแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิในค่าเช่าไป การที่จำเลยชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าเดิม จึงจะยกเป็นข้อต่อสู้ไม่ชำระค่าเช่าแก่โจทก์หาได้ไม่
ข้อที่ว่าสัญญาเช่าได้เปลี่ยนแปลงแล้วเพราะที่ปฏิบัติมา เจ้าของผู้ให้เช่าเป็นผู้มาเก็บค่าเช่าเองโดยมิได้ถือเอาตามสัญญา จำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงอันนี้ขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นไว้ และฟ้องก็ไม่ได้บรรยายว่าผู้ให้เช่าเป็นผู้ไปเก็บค่าเช่าเองจริง จึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัย
เมื่อจำเลยตกเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติดกัน เมื่อโจทก์ได้ให้ผู้แทนบอกกล่าวเลิกการเช่า จำเลยไม่ออกไป โจทก์จึงฟ้องขับไล่ได้
ในคดีก่อนศาลวินิจฉัยว่า การเช่าของจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ เห็นได้ว่าศาลในคดีนั้นมิได้วินิจฉัยหรือชี้ขาดในเรื่องค่าเช่า โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เรียกค่าเช่าที่ค้างได้
จำเลยมีหน้าที่ชำระค่าเช่าแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิในค่าเช่าไป การที่จำเลยชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าเดิม จึงจะยกเป็นข้อต่อสู้ไม่ชำระค่าเช่าแก่โจทก์หาได้ไม่
ข้อที่ว่าสัญญาเช่าได้เปลี่ยนแปลงแล้วเพราะที่ปฏิบัติมา เจ้าของผู้ให้เช่าเป็นผู้มาเก็บค่าเช่าเองโดยมิได้ถือเอาตามสัญญา จำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงอันนี้ขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นไว้ และฟ้องก็ไม่ได้บรรยายว่าผู้ให้เช่าเป็นผู้ไปเก็บค่าเช่าเองจริง จึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายและการชำระหนี้ เมื่อการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยจากเหตุสุดวิสัย จำเลยต้องคืนเงินมัดจำ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานผิดสัญญา โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การเกินกำหนด ศาลรับคำให้การโดยไม่ไต่สวนหรือให้โอกาสคัดค้าน ศาลอุทธรณ์สั่งว่า แม้คำสั่งศาลแพ่งจะชอบหรือไม่ ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์เสียหาย ไม่จำต้องมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น โจทก์เถียงมาในฎีกาว่าโจทก์เสียหาย เพราะโจทก์ลงทุนไปเกินกว่า 100,000 บาท จึงเป็นฎีกาไม่ตรงกับเรื่อง เพราะศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีของโจทก์ไม่เสียหายในกระบวนพิจารณา
ข้อที่ว่าพยานจำเลยมิได้รับรองสำเนาเอกสาร จำเลยมิได้ยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ข้อโต้แย้งของโจทก์ที่ว่าไม่มีผู้ใดรับรองสำเนาจึงตกไป
จำเลยไม่ต้องรับผิดในการที่เทศบาลไม่อนุญาตให้โจทก์ก่อสร้างในที่ที่จำเลยยอมให้โจทก์ทำการปลูกสร้าง
จำเลยขายที่ดินที่ยอมให้โจทก์ทำการก่อสร้างภายหลังจากที่ต้องระงับการก่อสร้างเพราะไม่ได้รับอนุญาตจากเทศบาล จึงเป็นพฤติการณ์ภายหลังที่การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย เพราะเหตุที่จำเลยไม่ต้องรับผิดไปแล้ว ไม่เป็นเหตุที่โจทก์จะอ้างขึ้นให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาอีกได้
โจทก์กล่าวฟ้องอ้างเหตุให้จำเลยรับผิดเพราะจำเลยผิดสัญญาไม่รื้อห้องแถว เป็นเหตุให้โจทก์ก่อสร้างไม่ได้และเอาที่ดินไปขายให้ผู้อื่น หาได้อ้างเหตุให้จำเลยต้องใช้เบี้ยปรับเพราะโจทก์ก่อสร้างไม่ได้โดยพฤติการณ์ที่โจทก์ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาข้ออื่น จึงไม่มีประเด็นที่จะยกขึ้นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อนี้
แม้ตามสัญญาแบ่งการชำระเงินเป็นงวด ๆ ก็จริง แต่ก็มิได้มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการชำระหนี้ตอบแทนกันเป็นส่วน ๆ ดังนั้น เมื่อจำเลยมิได้ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วน จำเลยก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินที่จำเลยรับไปเป็นค่าตอบแทนจากโจทก์ เมื่อได้รับมาแล้วก็ต้องคืนให้โจทก์ไป มิใช่สิทธิเรียกร้องเงินจำนวนนี้คืนจะระงับไปพร้อมกับสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ตามสัญญาด้วย
ข้อที่ว่าพยานจำเลยมิได้รับรองสำเนาเอกสาร จำเลยมิได้ยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ข้อโต้แย้งของโจทก์ที่ว่าไม่มีผู้ใดรับรองสำเนาจึงตกไป
จำเลยไม่ต้องรับผิดในการที่เทศบาลไม่อนุญาตให้โจทก์ก่อสร้างในที่ที่จำเลยยอมให้โจทก์ทำการปลูกสร้าง
จำเลยขายที่ดินที่ยอมให้โจทก์ทำการก่อสร้างภายหลังจากที่ต้องระงับการก่อสร้างเพราะไม่ได้รับอนุญาตจากเทศบาล จึงเป็นพฤติการณ์ภายหลังที่การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย เพราะเหตุที่จำเลยไม่ต้องรับผิดไปแล้ว ไม่เป็นเหตุที่โจทก์จะอ้างขึ้นให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาอีกได้
โจทก์กล่าวฟ้องอ้างเหตุให้จำเลยรับผิดเพราะจำเลยผิดสัญญาไม่รื้อห้องแถว เป็นเหตุให้โจทก์ก่อสร้างไม่ได้และเอาที่ดินไปขายให้ผู้อื่น หาได้อ้างเหตุให้จำเลยต้องใช้เบี้ยปรับเพราะโจทก์ก่อสร้างไม่ได้โดยพฤติการณ์ที่โจทก์ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาข้ออื่น จึงไม่มีประเด็นที่จะยกขึ้นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อนี้
แม้ตามสัญญาแบ่งการชำระเงินเป็นงวด ๆ ก็จริง แต่ก็มิได้มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการชำระหนี้ตอบแทนกันเป็นส่วน ๆ ดังนั้น เมื่อจำเลยมิได้ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วน จำเลยก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินที่จำเลยรับไปเป็นค่าตอบแทนจากโจทก์ เมื่อได้รับมาแล้วก็ต้องคืนให้โจทก์ไป มิใช่สิทธิเรียกร้องเงินจำนวนนี้คืนจะระงับไปพร้อมกับสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ตามสัญญาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบหลักฐานการชำระหนี้ด้วยการโอนทรัพย์สิน และข้อจำกัดในการยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา
ศาลเป็นผู้พินิจพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยตามที่นำสืบมาในสำนวน การตรวจพิจารณาลายเซ็นชื่อของโจทก์ในสัญญากู้เปรียบเทียบกับลายเซ็นชื่อของโจทก์ในเอกสารต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในสำนวนก็เป็นการพิจารณาอย่างหนึ่งที่ศาลมีอำนาจกระทำได้
จำเลยให้การโดยชัดแจ้งว่าโจทก์กู้ยืมเงินจำเลยไป 5,000 บาท ต่อมาไม่มีเงินชำระเงินต้น โจทก์จึงเอาสวนพิพาทตีราคาใช้หนี้จำเลยในราคา 3,000 บาทโดยทำสัญญายกสวนให้จำเลย ดังนี้ จำเลยย่อมนำสืบได้ ส่วนการที่ต้องทำสัญญาเป็นสัญญายกให้ก็เนื่องจากเจ้าหน้าที่ขัดข้องที่จะทำสัญญาเป็นสัญญาซื้อขาย จึงต้องทำเป็นสัญญายกให้ตามที่เจ้าหน้าที่ชี้แจง ซึ่งเป็นการนำสืบแสดงถึงเหตุที่ต้องทำเป็นสัญญายกให้เท่านั้น ถึงแม้จำเลยจะมิได้ให้การไว้โดยชัดแจ้ง จำเลยก็นำสืบได้ มิใช่จำเลยนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารและนำสืบนอกประเด็นข้อต่อสู้แต่อย่างใด
ข้อที่ว่าจำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงว่าได้มีการชำระหนี้ 3,000 บาทมาแสดงต่อศาล โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์นี้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยให้การโดยชัดแจ้งว่าโจทก์กู้ยืมเงินจำเลยไป 5,000 บาท ต่อมาไม่มีเงินชำระเงินต้น โจทก์จึงเอาสวนพิพาทตีราคาใช้หนี้จำเลยในราคา 3,000 บาทโดยทำสัญญายกสวนให้จำเลย ดังนี้ จำเลยย่อมนำสืบได้ ส่วนการที่ต้องทำสัญญาเป็นสัญญายกให้ก็เนื่องจากเจ้าหน้าที่ขัดข้องที่จะทำสัญญาเป็นสัญญาซื้อขาย จึงต้องทำเป็นสัญญายกให้ตามที่เจ้าหน้าที่ชี้แจง ซึ่งเป็นการนำสืบแสดงถึงเหตุที่ต้องทำเป็นสัญญายกให้เท่านั้น ถึงแม้จำเลยจะมิได้ให้การไว้โดยชัดแจ้ง จำเลยก็นำสืบได้ มิใช่จำเลยนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารและนำสืบนอกประเด็นข้อต่อสู้แต่อย่างใด
ข้อที่ว่าจำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงว่าได้มีการชำระหนี้ 3,000 บาทมาแสดงต่อศาล โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์นี้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 870/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ก่อนล้มละลายและการเพิกถอนหนี้เพื่อความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้รายอื่น
ในกรณีที่ลูกหนี้มิได้ถูกฟ้องคดีล้มละลาย หากลูกหนี้เลือกชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเจ้าหนี้รู้แล้วว่าเป็นการทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ เจ้าหนี้อื่นอาจขอให้ศาลเพิกถอนได้ ตามฎีกาที่ 1130 - 1131/2505
ในกรณีที่ลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การที่ลูกหนี้เลือกชำระหนี้แก่เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใด แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและมีคำบังคับให้ชำระหนี้แล้วก็ตาม โดยลูกหนี้ไม่มีทรัพย์พอจะชำระหนี้รายอื่นได้ อันทำให้เจ้าหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่นแล้ว ก็อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2509).
ในกรณีที่ลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การที่ลูกหนี้เลือกชำระหนี้แก่เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใด แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและมีคำบังคับให้ชำระหนี้แล้วก็ตาม โดยลูกหนี้ไม่มีทรัพย์พอจะชำระหนี้รายอื่นได้ อันทำให้เจ้าหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่นแล้ว ก็อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2509).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 870/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้โดยเจตนาเลือกปฏิบัติทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ ศาลเพิกถอนการชำระหนี้ได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
ในกรณีที่ลูกหนี้มิได้ถูกฟ้องคดีล้มละลาย หากลูกหนี้เลือกชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเจ้าหนี้รู้แล้วว่าเป็นการทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ เจ้าหนี้อื่นอาจขอให้ศาลเพิกถอนได้ ตามฎีกาที่ 1130,1131/2505
ในกรณีที่ลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การที่ลูกหนี้เลือกชำระหนี้แก่เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใด แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและมีคำบังคับให้ชำระหนี้แล้วก็ตามโดยลูกหนี้ไม่มีทรัพย์พอจะชำระหนี้รายอื่นได้ อันทำให้เจ้าหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่นแล้วก็อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 115(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2509)
ในกรณีที่ลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การที่ลูกหนี้เลือกชำระหนี้แก่เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใด แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและมีคำบังคับให้ชำระหนี้แล้วก็ตามโดยลูกหนี้ไม่มีทรัพย์พอจะชำระหนี้รายอื่นได้ อันทำให้เจ้าหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่นแล้วก็อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 115(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความเช็ค 1 ปี และการนำสืบพยานคดีชำระหนี้ด้วยเช็ค
อายุความในการที่ผู้ทรงเช็คฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็คนั้น มีกำหนดเวลาภายใน 1 ปีนับแต่วันที่เช็คถึงกำหนด มิใช่ 6 เดือน
หนังสือสัญญาขายที่ดินมีข้อความว่า จำเลยชำระเงินค่าที่ดินรายนี้เสร็จแล้ว แต่โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบว่าโจทก์ไม่ได้รับเงิน ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยชำระค่าที่ดินด้วยเช็คแต่ขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยต่อสู้ว่าได้ชำระค่าที่ดินด้วยเงินสด มิใช่ชำระด้วยเช็ค โจทก์จึงนำสืบได้ตามฟ้องว่าตามสัญญาดังกล่าว เพราะจำเลยได้ออกเช็ครายพิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้ ต่อมาจำเลยผิดนัดผิดสัญญาการชำระเงินตามเช็ค โจทก์ขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามเช็ค จึงไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94.
หนังสือสัญญาขายที่ดินมีข้อความว่า จำเลยชำระเงินค่าที่ดินรายนี้เสร็จแล้ว แต่โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบว่าโจทก์ไม่ได้รับเงิน ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยชำระค่าที่ดินด้วยเช็คแต่ขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยต่อสู้ว่าได้ชำระค่าที่ดินด้วยเงินสด มิใช่ชำระด้วยเช็ค โจทก์จึงนำสืบได้ตามฟ้องว่าตามสัญญาดังกล่าว เพราะจำเลยได้ออกเช็ครายพิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้ ต่อมาจำเลยผิดนัดผิดสัญญาการชำระเงินตามเช็ค โจทก์ขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามเช็ค จึงไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสนอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสัญญา และการชำระหนี้โดยถูกบีบบังคับ
โจทก์กู้เงินจากจำเลยโดยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ต่อมาจำเลยมีหนังสือไปถึงโจทก์เสนอขอขึ้นดอกเบี้ยแก่โจทก์เป็นร้อยละ 15 ต่อปี โจทก์ไม่ตอบรับข้อเสนอของจำเลย ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการสนองรับข้อเสนอของจำเลย แต่กลับเป็นการแสดงเจตนาปฏิเสธโดยปริยาย ข้อเสนอของจำเลยจึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยตามสัญญากู้เดิม
การที่โจทก์ยอมชำระดอกเบี้ยให้จำเลยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีก็เพราะถูกจำเลยบีบบังคับ มิฉะนั้นจำเลยจะไม่ยอมให้โจทก์ไถ่จำนอง ถือไม่ได้ว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ และการที่จำเลยได้รับดอกเบี้ยเกินจากที่ตกลงไว้จากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยต้องคืนเงินดอกเบี้ยส่วนที่เกินนั้นให้แก่โจทก์.
การที่โจทก์ยอมชำระดอกเบี้ยให้จำเลยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีก็เพราะถูกจำเลยบีบบังคับ มิฉะนั้นจำเลยจะไม่ยอมให้โจทก์ไถ่จำนอง ถือไม่ได้ว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ และการที่จำเลยได้รับดอกเบี้ยเกินจากที่ตกลงไว้จากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยต้องคืนเงินดอกเบี้ยส่วนที่เกินนั้นให้แก่โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผ่อนเวลาชำระหนี้และทำสัญญาจำนองย่อมแสดงเจตนาที่จะไม่บังคับชำระหนี้เดิมจนกว่าจะครบกำหนดตามสัญญาจำนอง
โจทก์ให้จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้ค่าเช่าซื้อที่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อทั้งหมด และยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อได้ต่อไปอีก 12 เดือนย่อมเป็นการที่จำเลยรับสภาพหนี้และโจทก์ยอมผ่อนเวลาการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อไปโดยมีกำหนดเวลาเมื่อถึงกำหนดเวลาจำเลยไม่ชำระ โจทก์ยอมให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้มีกำหนด 5 ปี ย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ด้วยให้ประกันต่อมาโจทก์ยอมรับเอาการรับสภาพหนี้ด้วยการให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาทำสัญญาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยมิได้กำหนดเวลาการชำระค่าเช่าซื้อไว้เป็นอย่างอื่น นอกจากกำหนดเวลาตามสัญญาจำนอง 5 ปีเท่านั้น จึงต้องแปลเจตนาของโจทก์ว่าจะไม่บังคับการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่จำเลยก่อนครบกำหนด 5 ปี เท่ากำหนดเวลาในสัญญาจำนองนั้นโจทก์จะอ้างว่ารับสภาพหนี้โดยไม่มีกำหนดเวลาและฟ้องตามสัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่ เพราะยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อตามที่โจทก์ได้ผ่อนเวลาให้จำเลยตามสัญญาจำนองนั้น